อีดุลอัฎฮาที่สตูล

บรรจง บินกาซัน
สตูลเป็นจังหวัดเล็กๆที่มีเสน่ห์และสงบริมชายฝั่งทะเลอันดามัน เนื่องจากในอดีตเคยเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของไทรบุรีที่ถูกแยกออกไปเป็นรัฐเคดาห์ของมาเลเซีย ผู้คนบางส่วนจึงสามารถสื่อสารด้วยภาษามลายูได้ แต่ผู้คนส่วนใหญ่มักพูดภาษาไทยกลางและประชาชนไม่ต่ำกว่า 60% ในจังหวัดสตูลเป็นมุสลิม

ในช่วงปีกว่าๆที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปสัมผัสบรรยากาศเฉลิมฉลองวันเทศกาลสำคัญของศาสนาอิสลามที่จังหวัดสตูลถึงสองครั้ง คือเทศกาลวันอีดุลฟิฏร์และวันอีดุลอัลฎฮา จึงอยากนำมาถ่ายทอดให้ท่านผู้อ่านได้รับรู้และเผื่อว่าชุมชนมุสลิมจะนำไปทำตามก็ถือว่าเป็นเรื่องดี
ในเทศกาลอีดุลฟิฏร์ซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองการสิ้นสุดเดือนถือศีลอดเมื่อปีที่แล้ว กลุ่มนักธุรกิจเอกชนมุสลิม ร้านค้าและหน่วยงานราชการในอำเภอเมืองได้ร่วมกันเปิดซุ้มอาหารคาวหวานและเครื่องดื่มประมาณ 300 ซุ้มบนถนนหน้ามัสยิดมัมบังเลี้ยงคนทั่วไปไม่เฉพาะมุสลิมได้กินกันเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการสิ้นสุดเดือนรอมฎอน บนเวทีของงานฉลองมีการแสดงทางวัฒนธรรมและการบรรยายให้ความรู้แก่ผู้มาร่วมฉลองในงาน งานฉลองเป็นไปอย่างครึกครื้น ไม่มีการทะเลาะวิวาทต่อยตีกันเพราะไม่มีสุราและมหรสพในงาน

มาในปีนี้ เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปร่วมฉลองเทศกาลวันอีดุลอัฎฮาซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองให้พี่น้องมุสลิมทั่วโลกที่มีโอกาสไปทำพิธีฮัจญ์ที่เมืองมักก๊ะฮฺ แต่งานเฉลิมฉลองวันอีดุลอัฎฮาคราวนี้ต่างไปจากงานฉลองวันอีดุลฟิฏร์
ผู้จัดงานครั้งนี้มีแนวความคิดว่าในวันอีดุลอัฎฮา มุสลิมจากทั่วโลกไปชุมนุมกันที่เมืองมักก๊ะฮฺ ดังนั้น มุสลิมในตัวเมืองสตูลก็ควรมารวมตัวกันฉลองกันที่ใดที่หนึ่ง ด้วยเหตุนี้ ผู้จัดงานจึงเลือกเอาลานกว้างหน้าสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสตูลเป็นสถานที่จัดงานโดยมีบรรยากาศแบบครอบครัว ผมถูกเชิญให้ไปเป็นส่วนหนึ่งในงานนี้ด้วย
งานนี้จัดบรรยากาศแบบเลี้ยงดูปูเสื่อ คือผู้จัดงานได้เอาเสื่อมาปูในลานกว้างเพื่อให้ผู้คนพาครอบครัวนำอาหารมาแบ่งกันกินบนพื้นหน้าเวที ถ้าใครมามือเปล่า ภายในงานก็มีซุ้มอาหารที่จัดเตรียมไว้อย่างเหลือเฟือ แต่อาหารที่จัดเลี้ยงในงานครั้งนี้ต่างไปจากอาหารในงานฉลองครั้งที่แล้ว เพราะอาหารส่วนใหญ่ทำมาจากเนื้อกุรฺบานที่พี่น้องมุสลิมจากที่ต่างๆบริจาคมาให้ทำเป็นอาหารสารพัดเมนู
เนื้อกุรฺบานเป็นเนื้อแพะหรือแกะหรือวัวที่ถูกเชือดพลีในเทศกาลอีดุลอัฎฮาเพื่อเป็นการระลึกถึงวีรกรรมแห่งความศรัทธาอันแน่วแน่ของนบีอิบรอฮีมที่มีต่อพระเจ้าจนถึงขึ้นยอมเชือดพลีอิสมาอีลบุตรคนแรกให้แก่พระเจ้าที่ต้องการทดสอบความศรัทธา แต่ก่อนจะลงมีดเชือด พระเจ้าได้สั่งให้นบีอิบรอฮีมเอาแกะหรือแพะมาเชือดแทน พิธีการเชือดสัตว์พลีจึงเป็นส่วนหนึ่งของพิธีฮัจญ์ซึ่งคนที่ไม่ได้ไปทำฮัจญ์สามารถมีส่วนร่วมได้

คำว่า “กุรฺบาน” หมายถึงการเข้าใกล้ การเชือดสัตว์พลีเนื่องในเทศกาลอีดุลอัฎฮาจึงเป็นการเข้าใกล้พระเจ้าด้วยการเสียสละแกะหรือแพะหรือวัวเพื่อเอาเนื้อไปกินและแจกจ่ายแก่ผู้คน เนื้อของสัตว์ที่ถูกเชือดเป็นกุรฺบานจะถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนหนึ่งเป็นของเจ้าของ อีกส่วนหนึ่งแจกจ่ายให้ญาติมิตรและอีกส่วนหนึ่งแจกจ่ายให้แก่คนยากจน แต่ส่วนใหญ่แล้ว เนื้อกุรฺบานจะถูกนำไปแจกจ่ายแก่คนยากจน
ผมรู้สึกทึ่งและชื่นชมในแนวความคิดของผู้จัดงานครั้งนี้ที่รณรงค์ให้มุสลิมออมเงินสัปดาห์ละ 100 บาทเพื่อเอาไว้ทำกุรฺบาน เก็บทุกสัปดาห์ตลอดทั้งปีก็ได้เงินห้าพันกว่าบาทซึ่งสามารถทำกุรฺบานในปีหน้าได้อย่างสบายๆ ถ้าการรณรงค์ได้รับการตอบสนอง ผู้ที่จะได้รับผลดีตามมาก็คือผู้เลี้ยงปศุสัตว์ที่จะต้องขยายและบำรุงพันธุ์สัตว์ของตนให้เป็นที่ต้องการ เพราะแพะแกะหรือวัวที่จะนำไปทำกุรฺบานต้องสุขภาพดี อ้วนท้วนสมบูรณ์ ไม่มีตำหนิหรือพิการ
ในออสเตรเลียและในประเทศยุโรปที่มีอุปสรรคเรื่องการเชือดสัตว์ มุสลิมในประเทศเหล่านั้นได้ส่งเงินไปยังชุมชนในประเทศมุสลิมที่ยากจนเพื่อซื้อปศุสัตว์ทำกุรฺบานและแจกจ่ายเนื้อแก่ผู้คนในประเทศนั้นได้กินกัน
นี่เป็นหนึ่งในคุณานุประโยชน์จากพิธีฮัจญ์ที่คัมภีร์กุรอานได้กล่าวไว้

ข้อมูลจาก Facebook : Banjong Binkason
Share:

ฮะดีษ : ความประเสริฐของการซิกรุลลอฮฺ


จาก  อบูฮุร็อยเราะฮฺ :  ท่านรอซูลุลลอฮฺ  กล่าวว่า
"ใครที่กล่าว  "ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ วะฮฺดะฮู ลาชะรีกะละฮฺ  ละฮุ้ลมุ้ลกุ้ วะละฮุลฮัมดุ  วะฮุวะอะลา กุลลิชัยอิน เกาะดัรฺ"  หนึ่งร้อยครั้ง  จะได้รับรางวัลตอบแทนเหมือนกับรางวัลตอบแทนที่ได้จากการปลดปล่อยทาสสิบคน 

และในบัญชีของเขาจะถูกบันทึกไว้หนึ่งร้อยความดี
และหนึ่งร้อยบาปจะถูกลบไปจากบัญชีของเขา 

และมัน (การกล่าวของเขา)  จะเป็นโล่ห์ป้องกันชัยฏอนให้เขาในวันนั้นจนถึงกลางคืน  และจะไม่มีใครสามารถทำการงานที่ดีกว่าได้  นอกจากคนที่ทำมากกว่าเขา"


(บันทึกโดย  บุคอรี)


จากห้องเรียน อ.บรรจง บินกาซัน
ศูนย์อบรมศาสนาและจริยธรรม มัสยิดต้นสน
วันเสาร์ที่  14 ตุลาคม 2560


Share:

ฮะดีษ : สิ่งที่ท่านคุ้มครองต่ออัลลอฮฺนบีขอความ

จาก  มุศอับ  :  ซะห์ เคยแนะนำ ห้า คำพูด และกล่าวว่า ท่านนบีเคยแนะนำเช่นนั้น (นั่นคือ)


"โอ้อัลลอฮฺ ฉันขอความคุ้มครองต่อพระองค์
ให้พ้นจากความขี้เหนียว

และฉันขอความคุ้มครองต่อพระองค์
ให้พ้นจากความขี้ขลาด

และฉันขอความคุ้มครองต่อพระองค์
ให้พ้นจากการถูกส่งกลับไปสู่วัยชราที่แก่หง่อม

และฉันขอความคุ้มครองต่อพระองค์
ให้พ้นจากฟิตนะฮฺ (การทดสอบและเคราะห์กรรม) ของโลกนี้ (นั่นคือ ฟิตนะฮฺของดัจญาล  เป็นต้น)

และฉันขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺ
ให้พ้นจากการลงโทษในหลุมฝังศพ"

(บันทึกโดย  บุคอรี)


จากห้องเรียน อ.บรรจง บินกาซัน
ศูนย์อบรมศาสนาและจริยธรรม มัสยิดต้นสน
วันเสาร์ที่  14 ตุลาคม 2560


ความรู้เพิ่มเติมจากห้องเรียน :

ท่านหญิงอาอิชะฮฺ เคยเล่าให้ท่านนบีฯฟังว่า "โอ้ท่านรอซูลุลลอฮฺ หญิงสองคนชาวยิว ได้เข้ามาหาฉัน และกล่าวว่า "คนตายถูกลงโทษในหลุมฝังศพของพวกเขา"  ฉันคิดว่าหญิงชาวยิวทั้งสองโกหก"  ท่านนบีฯจึงกล่าวว่า "หญิงสองคนนั้นพูดความจริง  คนตายถูกลงโทษจริงๆ จนถึงขนาดที่ว่า สัตว์ทั้งหมดจะได้ยิน (เสียงที่เกิดจาก) การลงโทษพวกเขา"

นับตั้งแต่นั้นมา  ฉันมักจะเห็นท่านวิงวอนในการนมาซของท่าน เพื่อขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺ ให้พนจากการลงโทษในหลุมฝังศพ
Share:

อาจารย์ บรรจง บินกาซัน Live in Sydney เนื่องในวันอีดิลอัฎฮา 2014 ที่ซิดนีย์ ออสเตรเลีย


อาจารย์ บรรจง บินกาซัน Live in Sydney เนื่องในวันอีดิลอัฎฮา 2014 ที่ซิดนีย์ ออสเตรเลีย
จัดขึ้นโดยความร่วมมือของสมาคมมุสลิมไทยในออสเตรเลีย (ITAA) จัดงานวันอีดิลอัฎฮาขึ้น โดยเชิญ ท่านอาจารย์ บรรจง บินกาซัน มาเป็นเกียรติน้ำละหมาด และบรรยายเกี่ยวกับศาสนาให้กับมุสลิมไทยในซิดนีย์ และยังได้เกียรติจากกงสุลไทยประจำนครซิดนีย์ ออสเตรเลีย มาร่วมงานเลี้ยง และรับประทานอาหารร่วมกัน .




Youtube Channel : ITAAislam
Share:

เรื่องไม่ลับ แต่คนไม่รู้

เรื่องไม่ลับ แต่คนไม่รู้
บรรจง บินกาซัน


ดอกเบี้ยคือความไม่เป็นธรรมอย่างหนึ่ง หากดอกเบี้ยเฟื่องฟูในสังคมใด สังคมนั้นก็เต็มไปด้วยความไม่เป็นธรรม และเมื่อความไม่เป็นธรรมอยู่ที่ไหน มันจะนำความหายนะมาสู่ที่นั่น

นี่คือเหตุผลที่ศาสดาคนสำคัญของโลกเช่นโมเสสและพระเยซูได้สั่งห้ามการให้กู้ยืมโดยคิดดอกเบี้ย หลักฐานคำสั่งห้ามของศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองนี้สามารถหาพบได้ในคัมภีร์ไบเบิล
ปรัชญาเมธีชาวกรีกอย่างเพลโตและอริสโตเติลก็กล่าวประณามดอกเบี้ยไว้เช่นกัน

หลังสมัยพระเยซูประมาณ 600 ปี นบีมุฮัมมัดได้มายืนยันคำสั่งห้ามของศาสดาและปรัชญาเมธีคนก่อนๆเพราะคำสอนของศาสดาคือวจนะของพระเจ้าที่เป็นความจริงตราบนานจนถึงวันสิ้นโลก
นอกจากยืนยันความจริงแล้ว นบีมุฮัมมัดผู้เกิดในสังคมการค้าในแผ่นดินอาหรับยังได้ขยายความจริงเกี่ยวกับเรื่องดอกเบี้ยออกไปอีกว่าดอกเบี้ยมีหลากหลายรูปแบบ ดอกเบี้ยมิได้อยู่ในรูปของสิ่งที่เพิ่มขึ้นจากการกู้ยืมเท่านั้น แต่ยังอยู่ในรูปของส่วนลดหรือส่วนเพิ่มที่เกิดขึ้นจากการแลกเปลี่ยนสิ่งของมีค่าที่เหมือนกันอีกด้วย ท่านกล่าวว่า :-

“อย่าขายหรือแลกเปลี่ยนทองคำกับทองคำเว้นเสียแต่ว่ามันมีน้ำหนักเท่ากัน อย่าขายหรือแลกเปลี่ยนเงินกับเงินเว้นเสียแต่จะมีน้ำหนักเท่ากัน แต่ท่านสามารถขายทองเพื่อเงินหรือขายเงินเพื่อทองได้ตามที่ท่านต้องการ.....การขายทองเพื่อทองเป็นดอกเบี้ยยกเว้นถ้าเป็นการแลกเปลี่ยนกันทันทีจากมือสู่มือและมีจำนวนเท่ากัน”
ท่านพูดเช่นนั้นเพราะในสมัยของท่าน โลกใช้เหรียญกษาปณ์ทองคำซึ่งเรียกว่า “ดีนาร์”และเหรียญเงินที่เรียกว่า “ดิรฺฮัม” เป็นสื่อกลางในการซื้อขาย ในยุคต้นอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินทั้งสองนี้อยู่ที่ 7 ดีนาร์เท่ากับ 10 ดิรฺฮัม เงินสองสกุลนี้เป็นสกุลเงินหลักของดินแดนที่อยู่ภายใต้การปกครองของอิสลามมานานนับหลายร้อยปี

เมื่ออาณาจักรออตโตมานเติร์กล่มสลาย โลกเข้าสู่ยุคทันสมัย ชาติตะวันตกได้นำเอาเงินกระดาษที่เรียกว่า“ธนบัตร”เข้ามาแทนที่เหรียญกษาปณ์ทองคำเพื่อการพกพาได้สะดวก ส่วนเงินโลหะไม่ได้รับการถือว่าเป็นวัตถุคงค่าเท่าทองคำ แต่การจะพิมพ์ธนบัตรออกมาใช้แทนทองคำต้องมีทองคำหนุนหลังเพื่อให้ธนบัตรที่พิมพ์ออกมามีค่าสามารถแลกเปลี่ยนโลหะทองคำได้พอดี

หลังสงครามโลกครั้งสอง ประเทศต่างๆต้องการค้าขายกับสหรัฐ เงินดอลล่าร์จึงได้กลายเป็นสกุลเงินสากลของโลก เมื่อการค้าต้องใช้เงิน ใน ค.ศ.1944 (พ.ศ.2487)  ประเทศต่างๆจึงได้ตกลงกันที่เมืองเบรตตันวูด รัฐนิวแฮมไชร์ของสหรัฐฯว่าราคาทองคำ 1 ออนซ์มีค่าเท่ากับ 35 ดอลล่าร์สหรัฐ ประเทศใดที่จะออกสกุลเงินของตัวเองก็ต้องเทียบมูลค่าดังกล่าวเป็นมาตรฐาน

เมื่อโลกทำการค้าโดยอาศัยสกุลเงินดอลล่าร์อ้างอิงได้ไม่นาน ค.ศ.1971 นายริชาร์ด นิกสัน ประธานาธิบดีสหรัฐได้ประกาศยกเลิกมาตรฐานทองคำที่ตกลงไว้กับต่างชาติตามลำพังเพียงฝ่ายเดียว นับแต่นั้นมา สหรัฐฯได้ออกธนบัตรดอลล่าร์ตามความต้องการของเศรษฐกิจโดยไม่มีทองคำหนุนหลัง ยิ่งพิมพ์ออกมามาก สกุลเงินดอลล่าร์ก็ยิ่งมีมูลค่าลดลงเมื่อเทียบกับมูลค่าที่แท้จริงของทองคำ จนกระทั่งวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ.2010 ทองคำปิดราคาที่ 1,420 ดอลล่าร์ต่อหนึ่งออนซ์

ผลงานที่นายริชาร์ด นิกสันทำไว้ในเรื่องนี้ได้ทำให้กลุ่มนายทุนการเงินในวอลสตรีทที่กุมหัวใจเศรษฐกิจของสหรัฐไว้ตั้งแต่มีการก่อตั้งธนาคารกลางของสหรัฐใน ค.ศ.1912 แผ่ขยายอิทธิพลไปทั่วโลก
ด้วยเงินกระดาษดอลล่าร์ที่เสื่อมค่าลงทุกวันเหมือนเงินกงเต็กนี้เองที่รัฐบาลสหรัฐนำไปซื้อรัฐบาลและครอบครองทรัพยากรในประเทศต่างๆทั่วโลกเป็นการแผ่ขยายอำนาจของตน

เมื่อเงินดอลล่าร์สหรัฐเสื่อมค่าหมดความน่าเชื่อถือ ชาติยุโรปจึงหันมาร่วมกันออกสกุลเงินยูโรของตนเอง ดังนั้น มูลค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐยิ่งเสื่อมลงเพราะถ้าธนบัตรสกุลใดไม่เป็นที่ยอมรับ ธนบัตรนั้นก็ไม่ต่างอะไรไปจากเศษกระดาษที่หมดอำนาจบงการและการครอบครอง ทางออกก็คือการทำให้เงินดอลล่าร์เป็นที่ยอมรับต่อไปไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม

นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเวเนซูเอลาจึงมีการก่อจลาจลประท้วงประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซเมื่อเขาประกาศว่าจะขายน้ำมันของชาติด้วยเงินดอลล่าร์เพียงครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครั้งหนึ่งจะใช้เงินสกุลอื่น
เหตุผลที่สหรัฐโจมตีและยึดครองอิรักมิใช่เพราะซัดดัม ฮุสเซนเป็นเผด็จการแต่อย่างใด เพราะสหรัฐเองเคยสนับสนุนอิรักให้โจมตีอิหร่านหลังการปฏิวัติของอิมามโคมัยนี แต่เป็นเพราะซัดดัมประกาศว่าจะเลิกซื้อขายน้ำมันของอิรักด้วยเงินดอลล่าร์ต่างหาก การบุกโจมตีและยึดอิรักจึงเกิดขึ้นเพื่อปล้นบ่อน้ำมันของอิรักไปขายด้วยเงินดอลล่าร์สหรัฐต่อไปนั่นเอง

การโจมตีลิเบียและสังหารประธานาธิบดีมุอัมมาร์ กอซซาฟีอย่างเหี้ยมโหดและความพยายามจะโจมตีอิหร่านก็เป็นเพราะเหตุผลทางการเงินเช่นเดียวกัน เพราะอิหร่านได้ประกาศว่าจะขายน้ำมันด้วยเงินสกุลอื่นที่มิใช่ดอลล่าร์สหรัฐ

ขณะนี้ เศรษฐกิจของยุโรปกำลังร่อแร่ เงินยูโรที่เป็นคู่แข่งของเงินดอลล่าร์สหรัฐกำลังมีปัญหา จีนและรัสเซียจึงนำเงินรูเบิลและเงินหยวนออกสู่ระบบเศรษฐิจการเงินของโลกในขณะที่โลกมุสลิมก็มีการเสนอให้นำระบบเงินดีนาร์ทองคำกลับมาเป็นสกุลเงินของโลกอีกครั้งหนึ่ง

การต่อสู้กันของสกุลในสองค่ายมหาอำนาจนี้ไม่ต่างอะไรจากช้างสารชนกัน ชาวโลกที่เป็นหญ้าแพรกเท่านั้นที่แหลกราญ

หมายเหตุ : บทความนี้เขียนลงหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ "โลกวันนี้" ฉบับวันที่ 1 มิถุนายน 2555
Share:

การกลับสู่ยุโรปของอิสลาม

การกลับสู่ยุโรปของอิสลาม
บรรจง บินกาซัน

 การสำรวจประชากรทางศาสนาในโลกเมื่อเร็วนี้ระบุว่าอิสลามเป็นศาสนาที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในโลกตะวันตกและใน ค.ศ.2020 ประมาณกันว่ายุโรปจะมีประชากรที่นับถือศาสนาอิสลามประมาณ 20% ขึ้นไป

ไม่เป็นเรื่องน่าแปลกแต่ประการใดที่ผลสำรวจจะออกมาเช่นนั้นยิ่งหากมองจากทางประวัติศาสตร์
อิสลามเคยเข้าไปในคาบสมุทรไอบีเรียซึ่งเป็นที่ตั้งของสเปนและโปรตุเกสในปัจจุบันเมื่อศตวรรษที่ 8 และมุสลิมเคยสร้างอาณาจักรอันดะลุสที่เป็นอู่อายธรรมแห่งหนึ่งของโลกจนถึงศตวรรษที่ 15 ต่อมา อาณาจักรออตโตมานเคยขยายอาณาเขตการปกครองไปถึงอัลบาเนีย บอสเนีย ฮังการี ออสเตรียและโปแลนด์ทางยุโรปตะวันออก
ค.ศ.1429 อาณาจักรอันดะลุสล่มสลาย มุสลิมและชาวยิวถูกกองทัพสเปนและพันธมิตรยุโรปบีบบังคับให้เลือกทางออกสามทาง คือ ออกไปจากสเปน หรือหันมารับนับถือศาสนาคริสต์หรือไม่ก็ตาย
ไม่ว่าจะเลือกทางใด ผลสุดท้ายก็คือสเปนไม่มีมุสลิมหลงเหลืออยู่ทั้งๆที่เมื่อประมาณหนึ่งพันปีก่อนหน้านี้เฉพาะในเมืองคอร์โดบาซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรอันดะลุสมีประชากรมุสลิมอาศัยอยู่ประมาณห้าแสนคน


ค.ศ.1918 เมื่ออาณาจักรออตโตมาน พันธมิตรของเยอรมันพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 อาณาจักรออตโตมานจึงมีอันต้องล่มสลาย แผ่นดินในยุโรปตะวันออกที่อยู่ภายใต้การปกครองโดยเคาะลีฟะฮฺที่อิสตันบูลได้กลายเป็นประเทศเล็กประเทศน้อยในเครือของยุโรป
สถานการณ์ในเวลานั้นชวนให้ผู้คนคิดว่าแผ่นดินยุโรปคงไม่มีประชากรมุสลิมหลงเหลืออยู่แล้ว แต่เมื่อย้อนลึกไปศึกษาประวัติศาสตร์ แผ่นดินไอยคุปต์หรืออียิปต์โบราณเคยถูกปกครองโดยนบียูซุฟมาก่อน แต่หลังสมัยนบียูซุฟ แผ่นดินไอยคุปต์ได้ถูกชาวอียิปต์พื้นเมืองโค่นอำนาจและลูกหลานอิสราเอลซึ่งเป็นมุสลิมผู้หลงผิดได้พากันอพยพออกมาจากอียิปต์ภายใต้การนำของโมเสสจนแทบจะไม่เหลือ แต่วันนี้ ประชากรส่วนใหญ่ของอียิปต์เป็นมุสลิม
เมื่อเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นในอียิปต์ ทำไมมันจะเกิดขึ้นในประเทศอื่นไม่ได้หากพระเจ้าประสงค์  อินโดนีเซียซึ่งแต่เดิมเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรพราหมณ์ฮินดู แต่ในตอนนี้ ประชากรส่วนใหญ่ของอินโดนีเซียเป็นมุสลิมโดยมิได้ถูกบังคับด้วยดาบแต่ประการใด
หลังอาณาจักรอันดะลุสล่มสลายไม่นาน ยุโรปได้เข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ ชาวยุโรปได้เริ่มนับถือวิทยาศาสตร์แทนศาสนาและนับถือนักวิทยาศาสตร์เหมือนศาสดาที่พูดความจริง ชาร์ลส ดาร์วิน บอกว่ามนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิง ชาวยุโรปก็เชื่อ เมื่อมอลธัสบอกว่ามีลูกมากจะยากจน ชาวยุโรปก็เริ่มเชื่อและคุมกำเนิดกัน ประชากรในยุโรปจึงลดลงซึ่งส่งผลให้เกิดความต้องการแรงงาน ดังนั้น ในสเปนปัจจุบันจึงมีชาวมุสลิมจากโมรอคโคซึ่งเป็นประเทศฝั่งตรงข้ามทะเลเมดิเตอเรเนียนเข้าไปทำงานในสเปนกันมากขึ้น
แม้ในสเปนจะไม่มีมัสญิดมากมายเหมือนในสมัยอาณาจักรอันดะลุส แต่ในกรุงมาดริดเมืองหลวงของสเปนก็มีศูนย์กลางอิสลามที่มีพื้นที่ละหมาดสำหรับมุสลิม มีส่วนที่แสดงนิทรรศการสำหรับคนที่สนใจศึกษาอิสลาม และสถานที่แห่งนี้เป็นที่ต้อนรับผู้หันมาเข้ารับอิสลามซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในเมืองเซบีญาและกรานาดาถึงแม้ไม่มีมัสญิดใหญ่โตเหมือนในสมัยอาณาจักรอันดะลุส แต่ก็มีอาคารที่ถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับนมาซวันศุกร์ของชาวมุสลิม
เนเธอร์แลนด์เคยไปยึดอินโดนีเซียเป็นเมืองขึ้นของตนเพื่อแสวงหาทรัพยากรและเผยแผ่ศาสนาคริสต์ เมื่อยึดแล้วก็นำชาวอินโดนีเซียมาเป็นแรงงานในประเทศของตนตามประสานักล่าอาณานิคม ทุกวันนี้ ผลสำรวจประชากรปรากฏว่าชาวเนเธอร์แลนด์ส่วนใหญ่ไม่มีศาสนา แต่ในจำนวนประชากรที่นับถือศาสนานั้นส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมและในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นชาวอินโดนีเซีย โบสถ์หลายแห่งถูกซื้อมาดัดแปลงเป็นมัสญิด

เมื่อเยอรมันแพ้สงครามโลกและต้องบูรณปฏิสังขรณ์ประเทศของตน เยอรมันจึงต้องการแรงงาน แน่นอน ในฐานะตุรกีเป็นพันธมิตรร่วมรบ เยอรมันจึงต้อนรับแรงงานชาวตุรกีที่เป็นมุสลิมนับแสนคนเข้าไปทำงานในประเทศของตน ทุกวันนี้ เยอรมันจึงมีชาวตุรกีนับล้านคนอาศัยอยู่ในประเทศ แม้ชาวตุรกีส่วนหนึ่งจะถูกสังคมตะวันตกในเยอรมันหล่อหลอมให้ดำเนินชีวิตแบบตะวันตก แต่มุสลิมชาวตุรกีส่วนใหญ่ก็ยังสามารถดำรงรักษาความศรัทธาในอิสลามของตนไว้อย่างเหนียวแน่น
อังกฤษนำชาวอินเดียและปากีสถานส่วนนึ่งไปเป็นแรงงานในประเทศของตนหลังจากยึดอินเดียไว้เป็นอาณานิคม ปัจจุบัน ชาวมุสลิมอินเดียและปากีสถานส่วนหนึ่งซึ่งเป็นพลเมืองอังกฤษไปแล้วได้แพร่ลูกออกหลานจนมีบางคนบอกว่าไม่ช้ากรุงลอนดอนอาจจะถูกเรียกว่า “ลอนดอนนิสถาน”ก็ได้ เมื่อไม่นานมานี้ ทารกเกิดใหม่ถูกตั้งชื่อว่า "มุฮัมมัด" มากที่สุด
เมื่อเร็วๆนี้ นายวลาดิมีร์ ปูตินก็เพิ่งไปเปิดมัสญิดที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปในกรุงมอสโคว์
วันนี้ ชาติยุโรปกำลังเร่งเพิ่มประชากรมุสลิมในทวีปของตนโดยการโจมตีประเทศมุสลิมในตะวันออกกลาง ทำให้ชาวมุสลิมในประเทศที่ถูกโจมตีพากันอพยพเข้าไปยังประเทศต่างๆในยุโรปที่เจริญก้าวหน้า แต่ขาดศาสนา ดังนั้น ไม่ช้านี้ ชาวมุสลิมที่อพยพไปยังยุโรปจะนำอิสลามไปสู่ที่นั่น

Share:

การขลิบหนังปลายอวัยวะเพศชาย : ความสำคัญทางการแพทย์และศาสนา

การขลิบหนังปลายอวัยวะเพศชาย : ความสำคัญทางการแพทย์และศาสนา


การขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะพิเศษหรือที่คนทั่วไปรู้จักกันในคำว่า “เข้าสุหนัต” หรือที่ศัพท์ภาษามลายูท้องถิ่นใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของเราเรียกว่า “มาโซะยาวี” นั้นเป็นกระบวนการผ่าตัดในทางด้านการแพทย์อย่างหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันมายาวนานแล้วเพราะมันเป็นที่ปฏิบัติกันอย่างกว้างขวางในฐานะที่เป็นพิธีกรรมทางศาสนาอย่างหนึ่งตั้งแต่สมัยโบราณ ภาษาอาหรับเรียกกระบวนการนี้ว่า “คิตาน”

ถึงแม้ที่มาของมันจะไม่เป็นที่รู้กัน แต่หลักฐานเก่าแก่ที่สุดของการขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชายสามารถย้อนหลังไปได้ถึงสมัยอียิปต์ประมาณ 2300 ปีก่อนคริสตกาล เดิมทีฟาโรห์ได้ใช้การขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชายเพื่อเป็นเครื่องหมายของพวกทาส  เมื่อพวกโรมันเข้ามายึดครองอียิปต์เมื่อ 30 ปีก่อนคริสตกาล  การขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศให้แก่เด็กหนุ่มก็แพร่ไปทั่วโลก  หลังสงครามโลกครั้งที่สอง มันก็เป็นที่ปฏิบัติกันแทบจะเป็นของสากลในตะวันตก
อย่างไรก็ตาม ในอเมริกาเหนือปัจจุบัน ประมาณกันว่า 85% ของเด็กเกิดใหม่ได้ถูกขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ ในยุโรปมีแค่เพียง 10% แต่ในเอเซียและแอฟริกามีแค่เพียง 5% เท่านั้น  ส่วนในหมู่ชนที่มิใช่ยิวของยุโรป สแกนดิเนเวียและอเมริกาใต้นั้นมีการปฏิบัติน้อยมาก  ทีนี้ขอให้เรามาดูข้อเท็จจริงเกี่ยวกับขลิบหนังปลายอวัยวะเพศและประโยชน์ทางด้านการแพทย์ของมันดูบ้าง
 ความสำคัญทางด้านพิธีกรรม
การขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชายเป็นที่ปฏิบัติกันอย่างกว้างขวางในหมู่ชนเผ่าที่ถือผีสางเทวดาในอาฟริกา หมู่เกาะมาเลย์ นิวกินี ออสเตรเลียและเกาะแปซิฟิก  กลุ่มคนพื้นเมืองบางกลุ่มในอเมริกาใต้และอเมริกากลางก็มีพิธีการทำผ่าตัดอวัยวะเพศบางอย่างแก่เพศชายและเพศหญิงเช่นกัน
ในชนบางเผ่า การขลิบหนังปลายอวัยวะเพศมักจะเป็นพิธีกรรมที่ทำกับเด็กที่ก้าวเข้าสู่วัยหนุ่ม  บางครั้ง ความเจ็บปวดในการตัดหนังปลายอวัยวะเพศนี้ได้ถูกใช้เป็นเครื่องเซ่นแก่ภูตผีปีศาจ  ขณะเดียวกัน การตัดหนังปลายอวัยวะเพศก็เป็นสิ่งยืนยันถึงความพร้อมในการแต่งงานและความเป็นผู้ใหญ่และเป็นสิ่งยืนยันว่าบุคคลผู้นั้นสามารถทนความเจ็บปวดได้  นอกจากนี้แล้ว การตัดหนังปลายอวัยวะเพศชายยังเป็นสิ่งที่แยกวัฒนธรรมของคนกลุ่มหนึ่งออกจากกลุ่มคนที่ไม่ได้ทำเช่นนั้นด้วย
ในหมู่ชาวอียิปต์โบราณ โดยทั่วไปแล้ว เด็กผู้ชายจะถูกตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศระหว่างอายุ 6-12 ขวบ  การผ่าตัดในวัยแรกรุ่นนี้เป็นตัวแทนถึงการเริ่มต้นเข้าสู่ความเป็นผู้ชาย
 พิธีกรรมทางศาสนา
ประเพณีและกฎหมายของชาวยิวเกี่ยวกับการขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศนั้นมาจากคัมภีร์ไบเบิล คัมภีร์ตัลมูดและจารีตของชาวยิวซึ่งถ่ายทอดกันมาจากชนรุ่นหนึ่งมายังชนอีกรุ่นหนึ่ง
ในประเพณีทางศาสนาของชาวยิว การขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศของทารกเพศชายถือเป็นสิ่งจำเป็นในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของพันธะสัญญากับพระเจ้า  ตามกฎหมายของพวกเลวี  ทารกเพศชายชาวยิวทุกคนจะต้องได้รับการขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศในวันที่ 8 หลังจากการเกิด คำบัญชาแรกของคัมภีร์สำคัญห้าฉบับก็คือเด็กผู้ชายทุกคนจะต้องตัดหนังหุ้มปลายองคชาติ (ดูฉบับปฐมกาล 17:10-14) และการปฏิบัติตามพิธีกรรมนี้ถือว่าเป็นความสำคัญทางศาสนา
ตามคัมภีร์ไบเบิล การตัดหนังหุ้มปลายองคชาติเป็นคำบัญชาแรกที่พระเจ้ามีต่ออับราฮัมและเป็นศูนย์กลางของศาสนายูดาย  อับราฮัมบิดาของชาวยิวรับใช้พระผู้เป็นเจ้าด้วยความซื่อสัตย์มาเป็นเวลาหลายปี  แต่ท่านก็เพิ่งจะมาขลิบหนังปลายองคชาตของท่านตามคำบัญชาของพระเจ้าในตอนที่ท่านอายุได้ 99 ปี (ดูฉบับปฐมกาล 17:1)
ในพันธะสัญญาเก่าฉบับปฐมกาล 17:10-11 ก็ได้มีการเขียนไว้ว่า : “ นี่เป็นพันธะสัญญาของเราซึ่งเจ้าจะต้องรักษาระหว่างเรากับเจ้าและเชื้อสายของเจ้าที่จะสืบมา คือผู้ชายทุกคนจะต้องเข้าสุหนัต เจ้าจงเข้าสุหนัตหนังหุ้มปลายองคชาติของเจ้า นี่จะเป็นการหมายสำคัญของพันธะสัญญาระหว่างเรากับเจ้า”  พันธะสัญญาเก่าได้เอ่ยถึงคำว่า “บริส” (ในภาษาฮิบรูหมายถึงพันธะสัญญา) ถึง 13 ครั้งด้วยกันเกี่ยวกับการเข้าสุหนัต
หน้าที่ในการเข้าสุหนัตให้เด็กชาวยิวนั้นตกอยู่ที่พ่อ  ในกรณีที่พ่อไม่อยู่หรือไม่สามารถจัดการทำพิธีเข้าสุหนัตได้ หน้าที่ก็จะตกเป็นของสังคมและชาวยิวทุกคนจำเป็นต้องทำสุหนัต
ผู้ทำหน้าที่เข้าสุหนัตถูกเรียกว่า “โมเฮล” ซึ่งเป็นผู้ผ่าตัดที่มีความชำนาญเป็นพิเศษในการทำสุหนัต  หลังจากทำพิธีกรรมแล้ว โมเฮลจะตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศของทารกพร้อมกับตั้งชื่อและอวยพรให้  คนที่จะเป็นโมเฮลได้นั้นจะต้องเป็นผู้เกรงกลัวพระเจ้า ต้องเป็นชาวยิวผู้ปฏิบัติตามคัมภีร์และได้รับการฝึกอบรมในทางด้านกฎหมายของชาวยิวและทางการแพทย์
สำหรับชาวยิว การนำทารกไปขลิบหนังปลายอวัยวะเพศโดยศัลยแพทย์ที่โรงพยาบาลนั้นยังถือว่าไม่เป็นสมบูรณ์ตามความต้องการของพิธีการเข้าสุหนัตแบบชาวยิว เพราะยังจะต้องมีพิธีกรรมทางศาสนาอีก

ลักษณะของธรรมชาติแห่งอิสลาม
ในหมู่ชาวอาหรับ การเข้าสุหนัตมีมาก่อนที่จะมีอิสลามเกิดขึ้น (ค.ศ.570)  ในหมู่ชาวอาหรับและชาวเอธิโอเปียนั้น การเข้าสุหนัตจะทำหลังจากการเกิดได้ไม่นานหรือบางทีสองสามปีหลังการเกิด  อบูฮุร็อยเราะฮฺรายงานว่าท่านศาสนทูตของอัลลอฮได้กล่าวว่า “ อิบรอฮีมทำสุหนัตตนเองหลังจากที่ท่านอายุได้ 80 ปี”
อิสลามต้องการให้ชายมุสลิมขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศเพื่อที่จะส่งเสริมความสะอาด  ท่านศาสดามุฮัมมัดได้กล่าวว่า : “ มีการกระทำห้าสิ่งที่ใกล้เคียงกับฟิตเราะฮฺ (ธรรมชาติอันบริสุทธิ์) หรือห้าสิ่งที่เป็นการกระทำตามฟิตเราะฮฺ นั่นคือ การเข้าสุหนัต การโกนขนอวัยวะเพศ การตัดเล็บ การถอนขนรักแร้และการขลิบหนวด”
นักวิชาการหลายคนกล่าวการกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งจำเป็น  นักวิชาการสำนักชาฟีอีถือว่าการเข้าสุหนัตควรจะทำในวันที่เจ็ดหลังจากที่เด็กเกิด แต่อัช-เชากานีย์กล่าวว่า “ไม่มีสิ่งใดที่ระบุไว้อย่างชัดเจนถึงเรื่องเวลา”
การเข้าสุหนัตได้หายไปจากประเพณีของชาวพุทธ ชาวฮินดูและลัทธิขงจื๊อ นอกจากนั้นแล้ว คริสตจักรเองก็ไม่มีหลักการที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้  ชาวคริสเตียนไม่จำเป็นต้องเข้าสุหนัตได้ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิลฉบับกิจการของอัครทูตบทที่ 15  ปัจจุบัน มีแต่คริสตจักรอบิสสิเนียเท่านั้นในบรรดาองค์การคริสตจักรที่ยอมรับการเข้าสุหนัตว่าเป็นพิธีกรรมทางศาสนา
การทำสุนัตทางด้านการแพทย์
นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 พลเมืองที่พูดภาษาอังกฤษจำนวนมากได้หันมาทำสุหนัตกันด้วยเหตุผลทางการแพทย์  ในประเทศตะวันตก ได้มีการขลิบหนังปลายองคชาติอย่างกว้างขวางเนื่องมาจากเหตุผลทางด้านความสะอาด  ในโรงพยาบาลหลายแห่งจะตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศให้แก่เด็กเกิดใหม่เป็นประจำเว้นแต่จะไม่ได้รับคำยินยอมจากผู้ปกครองเด็ก  ในทางการแพทย์สมัยใหม่ การตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศของผู้ชายถือเป็นการผ่าตัดเล็กที่กระทำให้เด็กเพื่อความสะอาด  จากทัศนะทางด้านการแพทย์ การเข้าสุหนัตก็คือการตัดหนังหุ้มปลายองคชาติออกเพื่อให้หนังหุ้มอวัยวะเพศหดหายเข้าไปข้างหลังหัวองคชาติ  ในตอนเกิด เด็กๆจะมีหนังที่หุ้มปลายองคชาติอยู่ แต่เมื่อหนังตรงปลายถูกตัด หัวขององคชาติก็จะถูกเปิดออกซึ่งจะทำให้สิ่งสกปรกไม่สามารถเข้าไปหมักหมมส่งกลิ่นเหม็นอยู่ที่ปลายองคชาติและอาจก่อให้เกิดเชื้อโรคได้
แพทย์ในศตวรรษที่ 19 ได้แนะนำให้ตัดหนังหุ้มปลายองคชาติเพื่อการป้องกันโรคภัยต่างๆ เช่นโรคฮิสทีเรีย การแพร่เชื้อกามโรค เป็นต้น นอกจากนี้แล้ว ยังได้มีการยกหลักฐานมาอ้างอีกว่าคนที่เข้าสุหนัตจะมีอัตราการเป็นมะเร็งทางอวัยวะเพศต่ำมาก
การศึกษาวิจัยเมื่อเร็วๆนี้พบว่าการตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศให้แก่ลูกของตนเองนั้นมีผลดีทางการแพทย์บางอย่าง เช่น โอกาสที่จะติดโรคทางเดินปัสสาวะน้อยมาก  เด็กที่ไม่ได้ตัดหนังหุ้มหลายองคชาติจะมีโอกาสไตอักเสบเป็น 10 เท่าของเด็กที่ตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศตั้งแต่ตอนเป็นทารก  แม้แต่การตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศในตอนเป็นผู้ใหญ่ก็ยังป้องกันโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ  สำหรับไตแล้ว การติดเชื้อเป็นอันตรายที่สุดในสามเดือนแรกซึ่งในระหว่างนี้ผู้ป่วยมักจะต้องไปโรงพยาบาลและอาจจะมีผลติดเชื้อรุนแรงอย่างอื่นติดตามมา  การทำงานของไตและการหลั่งฮอร์โมนผิดปกติสามารถเกิดขึ้นกับการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะได้  นอกจากนี้แล้ว การติดเชื้อแบคทีเรียจากสิ่งสกปรกที่หมักหมมอยู่ภายใต้หนังหุ้มปลายองคชาติก็อาจนำไปสู่การติดเชื้อของไตได้เช่นกัน
ผู้ชายที่เข้าสุหนัตแทบจะไม่เป็นมะเร็งที่อวัยวะเพศเลย  การติดเชื้อที่หนังหุ้มปลายองคชาติสามารถเกิดขึ้นกับผู้ชายที่ไม่เข้าสุหนัตในอายุเท่าใดก็ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นในตอนอายุ 2-5 ปี ซึ่งเป็นวัยที่หนังหุ้มปลายองคชาติยังแยกไม่หมด  ดังนั้น จึงไม่สามารถถลกให้เปิดออกได้เต็มที่เพื่อทำความสะอาด  นอกจากนั้นแล้ว เด็กเองก็ไม่สามารถทำความสะอาดให้ตัวเองได้และในที่สุดก็จะต้องไปตัดเอาในตอนหลังซึ่งเสียค่าใช้จ่ายแพง  ด้วยเหตุนี้ การทำสุหนัตให้แก่เด็กตั้งแต่เกิดมาจึงทำให้สามารถรักษาความสะอาดได้ตลอดชีวิต
การศึกษายังแสดงให้เห็นว่าคนที่ตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศมีอัตราเสี่ยงต่อการติดโรคทางเพศน้อยมาก ส่วนผู้ชายที่ไม่ตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศนั้นจะมีโอกาสติดเชื้อมากกว่า เพราะในระหว่างการมีความสัมพันธ์ทางเพศนั้น หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศสามารถถลอกหรือเป็นแผลเล็กๆที่ทำให้เชื้อไวรัสเข้าไปในบาดแผลนั้นได้  เป็นที่คาดกันว่าหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศอาจจะปล่อยให้ไว้รัสและเชื้อโรคอื่นๆสามารถอยู่รอดได้ยาวนานกว่าที่อยู่ข้างนอกและมีเวลามากกว่าที่จะเข้าไปในร่างกาย  เมื่อเร็วๆนี้มีการพบว่าเซลล์บางอย่างในหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศสามารถที่จะดักไวรัสเอชไอวีและทำให้เกิดการติดเชื้อได้
ความจริงแล้ว การตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากในประเทศยากจนที่มีโรคระบาดและไม่สามารถจัดมาตรฐานสุขอนามัยทางการแพทย์ได้
การตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานทางเพศลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด ในทางตรงข้าม จากหลักฐานที่ถูกตีพิมพ์แสดงให้เห็นว่าคนที่ตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศสามารถมีกิจกรรมทางเพศได้หลากหลายและผู้หญิงจะชอบผู้ชายที่ตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศเพราะเหตุผลเรื่องความสะอาดและสุขอนามัย

บทความโดยบรรจง บินกาซัน
Share:

บทความที่ได้รับความนิยม

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน

บทความทั้งหมด

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

คลังบทความของบล็อก

Recent Posts

ผู้ติดตาม