แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สังคมและวัฒนธรรม แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สังคมและวัฒนธรรม แสดงบทความทั้งหมด

ต่างเผ่าต่างพันธุ์ แต่เป็นมนุษย์เหมือนกัน

ต่างเผ่าต่างพันธุ์ แต่เป็นมนุษย์เหมือนกัน
บรรจง บินกาซัน
ความรู้สึกว่าเผ่าพันธุ์ของตนมีความเหนือกว่าเผ่าพันธุ์อื่นยังไม่หมดไปจากมนุษย์ ฝรั่งผิวขาวบางคนยังเชื่อว่าคนผิวขาวเป็นเผ่าพันธุ์ที่เหนือกว่าคนผิวสี (White Supremacist) ความรู้สึกเช่นนี้มีมานานนับพันปีแล้ว มันเป็นมลทินอย่างหนึ่งที่เกาะกินจิตใจของมนุษย์และศาสนาพยายามที่ขจัดหรือซักฟอกมลทินนี้ให้หมดไป เพราะมลทินนี้เองที่ทำให้มนุษย์กลุ่มหนึ่งเหยียดหยามและกดขี่คนอีกกลุ่มหนึ่ง
ฟาโรห์ไม่เพียงแต่ถือว่าตัวเขาเหนือกว่าชนชาติอิสราเอลและพลเมืองที่เขาปกครอง แต่เขายังตั้งตัวเองเป็นพระเจ้าที่ผู้อยู่ใต้การปกครองของเขาต้องเคารพสักการะ โมเสสผู้เป็นลูกหลานอิสราเอลที่ตกเป็นทาสของฟาโรห์จึงถูกพระเจ้าส่งมาบอกฟาโรห์ว่าเขาไม่ใช่พระเจ้า แต่เขาเป็นมนุษย์เหมือนกับคนอื่นที่ต้องก้มกราบสักการะพระเจ้าที่แท้จริง แต่ฟาโรห์ไม่เชื่อ เขาจึงต้องประสบความตายอย่างน่าอนาถในทะเลแดงและศพของเขาถูกเก็บรักษาไว้เพื่อเป็นหลักฐานให้มนุษย์ได้รู้ว่าชะตากรรมของคนที่โอหังตั้งตัวเองเหนือกว่ามนุษย์คนอื่นนั้นเป็นเช่นไร
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาลูกหลานอิสราเอลและเรื่องราวตอนนั้นถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์ที่พวกลูกหลานอิสราเอลนับถือ แต่เป็นเรื่องแปลกที่ต่อมาพวกลูกหลานอิสราเอลกลับสำคัญตนผิดคิดว่าเผ่าพันธุ์ของตนเองเหนือกว่ามนุษย์เผ่าพันธุ์อื่น
ในสมัยนบีมุฮัมมัด ลูกหลานอิสราเอลสามเผ่าได้อพยพลี้ภัยไปอยู่ในเมืองยัษริบ(มะดีนะฮฺ)ในทะเลทรายอาหรับและทุกคนรอคอยบุคคลที่จะมาช่วยพวกเขาเหมือนกับที่บรรพบุรุษพวกเขาวิงวอนขอต่อพระเจ้าให้มาช่วยเหลือพวกเขาให้พ้นจากความเป็นทาสของฟาโรห์ แต่เมื่อนบีมุฮัมมัดบอกพวกลูกหลานอิสราเอลว่าตัวท่านคือบุคคลที่คัมภีร์ของพวกเขากล่าวไว้ พวกลูกหลานอิสราเอลกลับไม่เชื่อและต่อต้านท่าน
เหตุผลที่พวกลูกหลานอิสราเอลปฏิเสธนบีมุฮัมมัดว่ามิใช่บุคคลที่คัมภีร์ของพวกเขากล่าวไว้ก็คือ นบีมุฮัมมัดเป็นชนชาติอาหรับที่ไร้การศึกษา ไร้ศาสนา ไร้คัมภีร์ทางศาสนาและบรรพบุรุษของนบีมุฮัมมัดไม่เคยมีนบีหรือศาสดา แต่พวกลูกหลานอิสราเอลลืมไปว่าบรรพบุรุษของนบีมุฮัมมัดคืออับราฮัมผู้เป็นบรรพบุรุษของพวกเขาเช่นกัน แม้นบีมุฮัมมัดจะแสดงหลักฐานต่างๆให้พวกลูกหลานอิสราเอลเป็นที่ประจักษ์แล้ว แต่ความอคติที่เกิดจากการเหยียดชนชาติอาหรับทำให้พวกลูกหลานอิสราเอลปฏิเสธนบีมุฮัมมัดอย่างหัวชนฝา
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมคัมภีร์กุรอานจึงได้มีการบอกเล่าเรื่องราวการสร้างอาดัมซึ่งมีกล่าวไว้แล้วในคัมภีร์โตราห์ที่พวกลูกหลานอิสราเอลนับถือ
คัมภีร์กุรอานเล่าว่าพระเจ้าสร้างอาดัมขึ้นมาจากดินและทรงเป่าวิญญาณเข้าไปในดิน ดินจึงมีชีวิตเป็นมนุษย์คนแรกที่มีชื่อว่าอาดัม เมื่อสร้างอาดัมขึ้นมาแล้ว พระองค์ได้สอนความรู้และประทานความสามารถให้แก่อาดัม หลังจากนั้น พระองค์ได้ทรงบัญชาให้ทุกสิ่งกราบแสดงความนบนอบต่ออาดัม แต่อิบลีสตัวแทนของซาตานไม่ยอมก้มกราบตามคำบัญชา โดยมันอ้างว่ามันถูกสร้างมาจากไฟ มันเหนือกว่าอาดัมเพราะอาดัมถูกสร้างมาจากดิน
ความรู้สึกว่าตัวเองมีต้นกำเนิดที่เหนือกว่านี้เองทำให้มันโอหังถึงขั้นกล้าปฏิเสธคำบัญชาพระเจ้าผู้สร้างมันขึ้นมา มันลืมไปว่าถึงแม้มันจะถูกสร้างมาจากไฟ แต่มันก็เป็นสิ่งถูกสร้างและเป็นบ่าวของพระเจ้าเหมือนกับสิ่งอื่นๆที่ต้องเชื่อฟังพระเจ้า
เรื่องราวการสร้างอาดัมถูกประทานอีกครั้งแก่นบีมุฮัมมัดก็เพื่อที่จะเหน็บแนมพวกลูกหลานอิสราเอลว่าหากมนุษย์คนใดทะนงตนถือว่าเผ่าพันธุ์ตัวเองเหนือกว่าเผ่าพันธุ์อื่น มนุษย์คนนั้นก็มีทัศนะและพฤติกรรมไม่ต่างอะไรไปจากอิบลีสหัวหน้าซาตานที่โอหังต่อพระเจ้า
ในการทำฮัจญ์ครั้งสุดท้ายตอนบั้นปลายชีวิต ท่านนบีมุฮัมมัดได้กล่าวโอวาทตักเตือนบรรดาสาวกอย่างยืดยาว ซึ่งตอนหนึ่งท่านกล่าวว่า “...พวกท่านทั้งหลาย ชาวอาหรับมิได้เหนือกว่าคนที่มิใช่อาหรับ คนที่มิใช่อาหรับก็มิได้เหนือกว่าชาวอาหรับ คนขาวมิได้เหนือกว่าคนดำและคนดำก็มิได้เหนือกว่าคนขาว นอกจากโดยความยำเกรงพระเจ้า...”
Share:

ระหว่างคับแคบกับไร้ขอบเขต

ระหว่างคับแคบกับไร้ขอบเขต
บรรจง บินกาซัน
แม้ศาสนาเกิดขึ้นมาในอดีตและคำสอนของศาสนายังคงอยู่มาถึงปัจจุบันและต้องอยู่ตลอดไปจนถึงวันสิ้นโลก แต่คำสอนของศาสนาไม่ได้ล้าสมัย ความเข้าใจและการปฏิบัติของศาสนิกผู้นับถือศาสนานั้นๆต่างหากที่ทำให้คนเข้าใจว่าศาสนาเป็นสิ่งล้าสมัย ไปกับปัจจุบันไม่ได้
หลายสิบปีก่อน ผมมีโอกาสพูดคุยกับชาวอาฟกันคนหนึ่งในตอนเหนือของปากีสถานระหว่างสำรวจเส้นทางท่องเที่ยว เขาบอกว่าเขาอยากมาเมืองไทย แต่มีอุปสรรคบางอย่าง นั่นคือเขาไม่สามารถทำหนังสือเดินทางได้ เพราะเขาต้องถ่ายรูปซึ่งศาสนาอิสลามห้าม
เขายังอ้างอีกว่าแผ่นดินบนโลกใบนี้เป็นของพระเจ้า คนในอดีตไปไหนมาไหนได้ทั่วโลกโดยไม่ต้องมีหนังสือเดินทาง แต่เดี๋ยวนี้ทำไมต้องมีหนังสือเดินทาง
ผมไม่โต้เถียงอะไรทั้งสิ้น เพราะเรื่องความเชื่อทางศาสนากับการเมือง ถ้ามันฝังอยู่ในใจคนแล้ว ยากที่จะขุด จึงได้แต่คิดอยู่ในใจว่าถ้าคิดอย่างนี้ก็อยู่ตรงนั้นไปเถิด อย่าได้ไปเห็นแผ่นดินอื่นๆที่พระเจ้าได้สร้างไว้อย่างสวยงามเลย
ถามว่าในคำสอนของอิสลามมีข้อห้ามเรื่องทำรูปที่เป็นทั้งรูปวาดและรูปปั้นไหม คำตอบคือมี ไม่ใช่เฉพาะอิสลามเท่านั้น ข้อห้ามทำรูปโดยเฉพาะรูปปั้นก็มีอยู่ในคัมภีร์ไบเบิล
เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังข้อห้ามก็เพราะศาสนากลัวว่าเมื่อมนุษย์วาดภาพหรือทำรูปปั้นขึ้นมาแล้ว มนุษย์จะให้ความสำคัญแก่รูปวาดและรูปปั้นที่มนุษย์ทำขึ้นมาจนถึงกับบูชาสักการะรูปเหล่านั้นควบคู่ไปกับพระเจ้าหรือแทนพระเจ้าซึ่งถือเป็นบาปใหญ่ที่สุดในศาสนาที่ศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว
การวาดภาพหรือปั้นรูปสิ่งที่มองไม่เห็นบางอย่างเช่นทูตสวรรค์เกิดขึ้นมานานก่อนหน้าสมัยอิสลาม ในโบสถ์ฮาเกียโซเฟีย ประเทศตุรกี มีภาพวาดพระนางมารีย์และพระเยซูในตอนเกิดอยู่บนผนัง ข้างบนโดมภายในตรงกลางมีภาพวาดทูตสวรรค์อยู่
ชาวอาหรับเคยนำรูปเคารพนับร้อยมาตั้งไว้รอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺเพื่อการบูชาสักการะ ไม่เพียงเท่านั้น บนผนังก๊ะอฺบ๊ะฮฺ ชาวอาหรับยังวาดรูปนบีอิบรอฮีมและอิสมาอีลถือธนูเสี่ยงทายไว้อีกด้วย เมื่อนบีมุฮัมมัดพิชิตมักก๊ะฮฺ ท่านได้สั่งให้ลบรูปวาดนั้นและบอกผู้คนว่าชาวอาหรับรู้ดีว่านบีอิบรอฮีมและลูกชายของท่านไม่เคยทำเช่นนั้น และสั่งให้ทำลายรูปวาดและรูปเคารพทั้งหมด
หลังจากนั้น ท่านได้ออกคำสั่งห้ามมุสลิมวาดรูปและทำรูปปั้น นับแต่นั้น มุสลิมจึงไม่มีรูปภาพหรือรูปปั้นพระเจ้าไว้สักการะ อย่าว่าแต่รูปพระเจ้าเลย แม้แต่รูปนบีมุฮัมมัดก็ยังไม่มี
อย่างไรก็ตาม หลังสมัยนบีมุฮัมมัด เมื่อโลกอิสลามเจริญรุ่งเรือง นักวิชาการมุสลิมบางคน เช่น อิบนุสินา ที่โลกตะวันตกตกยกย่องเป็นบิดาทางการแพทย์ได้วาดภาพกายวิภาคของมนุษย์และสัตว์เพื่ออธิบายถึงตำแหน่งและการทำงานของอวัยวะต่างๆซึ่งจำเป็นสำหรับการถ่ายทอดความรู้ ถ้าอิบนุสินาตีความคำสอนเรื่องห้ามวาดรูปอย่างเถรตรง เขาคงไม่สามารถทำตำราถ่ายทอดวิชาการแพทย์ให้ชาวตะวันตกนำไปใช้เรียนจนเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติจนถึงทุกวันนี้ได้
ถ้าห้ามเรียนวาดภาพ เราก็คงเสียประโยชน์จากการมีคนสเก็ตภาพคนร้ายเพื่อตามจับอาชญากร ไม่มีคนวาดภาพเพื่อถ่ายทอดการแต่งกายและวิถีชีวิตของผู้คนในอดีตให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้กัน
ยิ่งในปัจจุบันที่มีกล้องถ่ายรูปและกล้องบันทึกภาพเคลื่อนไหว ถ้าตีความคำสั่งห้ามการทำรูปตามตัวอักษร การถ่ายรูปหรือการถ่ายภาพยนตร์ก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน
เมื่อโลกตะวันตกฉีกตัวออกจากศาสนาและเจริญก้าวหน้าหลังยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ ศิลปะการวาดภาพในโลกตะวันตกก็เริ่มไม่มีขอบเขตจำกัดทางศีลธรรม ภาพวาดและภาพปั้นหญิงเปลือยกายในท่าทางต่างๆถูกทำขึ้นมาเผยแพร่ในที่สาธารณะ สถาบันการศึกษาถือคติตามฝรั่งว่ามนุษย์เป็นสิ่งที่สวยงามที่สุดในบรรดาสิ่งถูกสร้างของพระเจ้า ดังนั้น การวาดภาพผู้หญิงเปลือยกายจึงถูกบรรจุไว้ในหลักสูตรการเรียนศิลปะวาดภาพ และกิจกรรมการประกวดเรือนร่างของผู้หญิงถูกจัดขึ้นมาในรูปแบบต่างๆจนเป็นที่แพร่หลาย
การตีความคำสอนของศาสนาด้วยความคิดอันคับแคบของหนุ่มชาวอาฟกันอาจทำให้เขาลำบากในการปรับตัวเข้ากับความเจริญของโลกยุคปัจจุบัน แต่การวาดภาพหรือการทำรูปปั้นของชาวตะวันตกอย่างไม่มีขอบเขตทางศีลธรรมนั้นสร้างความเสียหายให้แก่มนุษย์ในโลกที่กำลังเจริญทางวัตถุอย่างมากมายหลายพันเท่า
อิสลามอยู่ตรงกลางระหว่างสองขั้วนี้ คือไม่คับแคบ แต่ก็ไม่เปิดกว้างจนไร้ขอบเขต
Share:

ริษยาทำปัญญาสูญ

ริษยาทำปัญญาสูญ
บรรจง บินกาซัน

เรื่องราวในคัมภีร์กุรอานมิใช่นิยายปรัมปราที่ถูกเล่าเพื่อความสนุกสนานหรือเพื่อมอมเมาให้ผู้คนหลงใหล แต่มันเป็นสัจธรรมความจริงที่มีวัตถุประสงค์เพื่อถ่ายทอดคุณสมบัติอันดีงามและลักษณะทางธรรมชาติที่ไม่ดีของมนุษย์ ทั้งนี้เพื่อที่มนุษย์จะได้นำไปตรึกตรองเป็นบทเรียนสำหรับการดำเนินชีวิต คนที่มีสติปัญญาเท่านั้นจึงสามารถเข้าถึงแก่นธรรมและนำไปเป็นบทเรียนของชีวิต

เมื่ออาดัมและฮาวาถูกส่งมายังโลกนี้ ทั้งสองได้ให้กำเนิดบุตรมากมายหลายคนเพื่อแพร่ขยายเผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติ ในจำนวนนั้น คนหนึ่งชื่อกอบีลและอีกคนหนึ่งชื่อฮาบีล สองคนนี้มีน้องสาวคู่แฝด เมื่อพระเจ้าต้องการให้เผ่าพันธุ์มนุษย์แพร่ขยายบนหน้าแผ่นดิน พระองค์ได้บัญชาอาดัมให้จัดการแต่งงานกอบีลกับน้องสาวของฮาบีลและให้ฮาบีลแต่งงานกับน้องสาวของกอบีล แต่กอบีลปฏิเสธและต้องการแต่งงานกับน้องสาวคู่แฝดของตัวเองที่สวยกว่าน้องสาวของฮาบีล ส่วนฮาบีลนั้นยอมทุกอย่าง

เมื่ออาดัมทำตามคำบัญชาของพระเจ้า แต่ลูกคนหนึ่งไม่ยอม อาดัมจึงบอกลูกทั้งสองว่าเรื่องนี้เป็นบัญชาของพระเจ้า ถ้าไม่เชื่อก็ให้พระเจ้าตัดสินโดยอาดัมได้ให้ลูกชายทั้งสองคนนำอะไรบางอย่างไปพลีถวายต่อพระเจ้าเพื่อขอคำตัดสิน แล้วดูว่าพระเจ้าจะรับสิ่งพลีถวายของใคร

กอบีลเอาข้าวโพดแห้งๆไปพลีถวายพระเจ้า ส่วนฮาบีลเอาแกะอ้วนไปพลีถวายโดยวางไว้กลางแจ้ง ผลปรากฏว่าสายฟ้าได้ฟาดลงมาบนสิ่งพลีที่ฮาบีลนำไปพลีถวายซึ่งเป็นสัญญาณตัดสินว่าพระเจ้ายอมรับการพลีถวายของฮาบีล แต่กระนั้นก็ตาม กอบีลก็ยังไม่ยอมและขู่ฆ่าฮาบีลน้องชายของเขาเพื่อจะแต่งงานกับน้องสาวของตัวเองซึ่งเป็นการขัดขืนคำสั่งของพระเจ้า

แต่ฮาบีลกล่าวว่า “พระเจ้าทรงรับสิ่งพลีจากผู้สำรวมตนจากความชั่วเท่านั้น ถ้าพี่คิดจะฆ่าฉัน ฉันจะไม่ยกมือของฉันเพื่อฆ่าพี่เพราะฉันเกรงกลัวพระเจ้า ฉันอยากจะให้พี่รับภาระบาปของฉันและบาปของพี่ด้วย พี่จะได้กลายเป็นชาวนรก และนั่นคือการตอบแทนสำหรับผู้อธรรม”

ในที่สุด กอบีลได้ฆ่าฮาบีลเพราะแรงริษยาและไม่ยอมรับการตัดสินของพระเจ้า

เรื่องราวดังกล่าวในคัมภีร์กุรอานทำให้เราได้รับความรู้และบทเรียนหลายประการ

ประการแรก คัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอานยืนยันตรงกันตลอดกาลว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์และมนุษย์มิได้เกิดจากการวิวัฒนาการตามทฤษฎีของชาร์ลส ดาร์วินที่ถูกการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ลบล้างไปแล้ว

ประการที่สอง ฆาตกรรมครั้งแรกเกิดขึ้นบนโลกใบนี้เพราะแรงริษยาที่เริ่มต้นมาจากความต้องการและค่อยๆพัฒนาเป็นความอิจฉาอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์และเป็นแรงผลักดันให้มนุษย์แสวงหาสิ่งที่ตัวเองต้องการ

แต่เมื่อตัวเองไม่ได้หรือไม่มีในสิ่งที่คนอื่นมีแล้วไม่พอใจที่คนอื่นได้รับสิ่งนั้นและต้องการได้สิ่งนั้นมาเป็นของตัวเอง ความริษยาก็บังเกิดขึ้นและผลักดันตัวตนฝ่ายชั่วให้ลงมือทำทุกอย่างเพื่อได้สิ่งที่คนอื่นมีมาเป็นของตนเองไม่ว่าจะโดยวิธีใดก็ตาม

ความจริงแล้ว ความริษยาคือความไม่พอใจในพระประสงค์ของพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมาแม้กระทั่งชีวิตของมนุษย์ คนที่ริษยาลืมคิดไปว่าไม่มีมนุษย์คนใดได้รับอะไรทุกอย่างตามที่ตัวเองต้องการ ต่อให้มีเงินทองและอำนาจมากมายเพียงใดก็ตาม เหตุผลที่พระเจ้าให้มนุษย์ไม่เหมือนกันและไม่เท่ากันก็เพื่อที่มนุษย์จะได้พึ่งพาอาศัยกันและกัน ถ้ามนุษย์สำรวจตัวเอง มนุษย์จะพบว่าพระเจ้าให้มนุษย์มากพอที่จะอยู่ได้ และสิ่งที่พระเจ้าไม่ให้มนุษย์นั้นมีเพียงนิดเดียวซึ่งหากไม่มีมัน เขาก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้

คัมภีร์กุรอานเล่าต่อไปว่าเมื่อกอบีลฆ่าฮาบีลแล้ว เขาไม่รู้ว่าจะจัดการกับศพของฮาบีลอย่างไร จนกระทั่งพระเจ้าส่งอีกาสองตัวมาจิกตีกันจนตัวหนึ่งตาย อีกาที่รอดชีวิตได้ใช้เท้าขุดดินและเขี่ยอีกาที่ตายลงหลุมแล้วใช้เท้าเขี่ยดินกลบ เมื่อเห็นเช่นนั้น กอบีลจึงสำนึกว่าความริษยาได้บดบังสติปัญญาของเขาและเขาตรอมใจในสิ่งที่เขาได้ทำไปกับน้องชายของตัวเอง

ความพอใจในสิ่งที่พระเจ้าประทานให้จึงเป็นภูมิปัญญาที่ชาญฉลาดโดยไม่ต้องเรียนสูง แต่ความริษยาเป็นสิ่งที่ทำให้ปัญญาสูญ



ข้อมูลจาก :   https://www.facebook.com/Banjong.Binkason/
Share:

ที่มาของฮิจญ์เราะฮฺศักราช

ที่มาของฮิจญ์เราะฮฺศักราช
บรรจง บินกาซัน

วันนี้ 22 กันยายน พ.ศ.2560 ตรงกับวันที่ 1 เดือนมุฮัรฺร็อม ฮ.ศ.1439 วันปีใหม่ตามปฏิทินอิสลาม แต่มุสลิมทั่วโลกผ่านวันขึ้นปีใหม่ของตนไปโดยมิได้มีการจัดงานเคานต์ดาวหรือจุดพลุเฉลิมฉลองแต่ประการใด เพราะมุสลิมถือว่าวันที่ 1 ของทุกเดือนในรอบปีเป็นเพียงวันที่บอกว่าเวลาของเราได้หมดไปอีกหนึ่งเดือนแล้วเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ชาวมุสลิมมีวันสำคัญที่จะเฉลิมฉลองกันในบางเดือนของทุกปี นั่นคือ วันอีดุลฟิฏร์ซึ่งเป็นวันเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสการสิ้นสุดการถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอน(เดือนที่ 9)และวันอีดุลอัฎฮาซึ่งเป็นวันแห่งการทำพิธีฮัจญ์ของมุสลิมทั่วโลกในเดือนซุลฮิจญะฮฺ เดือนสุดท้ายของปี
ในคัมภีร์กุรอาน 9: 36 ระบุว่า “จำนวนเดือนที่อัลลอฮฺได้ทรงกำหนดไว้นั้นมีสิบสองเดือนตั้งแต่เมื่อตอนที่พระองค์ได้ทรงสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดิน และในจำนวนนี้มีสี่เดือนต้องห้าม นี่คือหลักในการนับที่ถูกต้อง......”
ดังนั้น มนุษย์จึงแบ่งเวลาหนึ่งปีออกเป็นสิบสองเดือนมาตั้งแต่อดีตกาลแล้ว แต่การแบ่งเดือนในแต่ละปีมีวิธีต่างกัน ระบบสุริยคติใช้การโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์เป็นเกณฑ์กำหนดหนึ่งปี ส่วนระบบจันทรคติใช้การโคจรของดวงจันทร์รอบโลกนับเป็นหนึ่งเดือนและนับไป 12 เดือนเป็นหนึ่งปี เดือนส่วนใหญ่ในปฏิทินจันทรคติจะมี 29 วัน ดังนั้น วันในปฏิทินจันทรคติจะมี 354 วันเศษๆซึ่งน้อยกว่าปฏิทินสุริยคติ 10 -11 วัน
ความแตกต่างอีกอย่างหนึ่งระหว่างปฏิทินสุริยคติกับปฏิทินจันทรคติก็คือ ปฏิทินในระบบสุริยคติเริ่มต้นวันใหม่หลังเที่ยงคืน แต่ปฏิทินระบบจันทรคติของอิสลามเริ่มต้นวันใหม่เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า
คัมภีร์กุรอานยังกล่าวอีกว่าในจำนวน 12 เดือนนี้มีเดือนต้องห้ามอยู่สี่เดือน นั่นคือเดือนที่ 1, 7, 11 และ 12 ในสังคมชาวอาหรับก่อนสมัยอิสลามได้กำหนดประเพณีไว้อย่างหนึ่งว่าในเดือนดังกล่าวห้ามทุกเผ่าทำสงคราม ทั้งนี้เพราะเดือนที่ 12 (เดือนซุลฮิจญะฮฺ) ของทุกปีเป็นเดือนแห่งการทำพิธีฮัจญ์ เดือนที่ 11 (เดือนซุลเกาะด๊ะฮฺ) เป็นเดือนแห่งการเดินทางมาและเดือนที่ 1 (เดือนมุฮัรฺร็อม)เป็นเดือนแห่งการเดินทางกลับ ดังนั้น ชาวอาหรับทุกคนต้องให้เกียรติแก่ผู้เดินทางมาทำพิธีฮัจญ์ และที่สำคัญก็คือความปลอดภัยในช่วงเดือนต้องห้ามจะทำให้ชาวอาหรับทุกเผ่าต่างได้รับผลประโยชน์จากการทำการค้า
แม้สังคมชาวอาหรับสมัยก่อนหน้าอิสลามมีการกำหนดวันและเดือนต่างๆแล้วก็ตาม แต่ชาวอาหรับก็ยังไม่มีปฏิทินที่บอกว่าเป็นศักราชที่เท่าใด การนับปีจะอ้างอิงเหตุการณ์สำคัญๆที่เกิดขึ้นในอดีต เช่น นบีมุฮัมมัดเกิดในวันจันทร์ เดือนเราะบีอุลเอาวัล ปีช้าง ทั้งนี้เนื่องจากในปีที่นบีมุฮัมมัดถือกำเนิดเป็นปีที่มีกองทัพช้างจากเยเมนได้บุกเข้ามายังมักก๊ะฮฺ ชาวอาหรับจึงถือว่าปีนั้นเป็นปีเกิดเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ในความทรงจำของพวกตน

เมื่อนบีมุฮัมมัดอพยพจากมักก๊ะฮฺไปที่มะดีนะฮฺใน ค.ศ.622 ท่านพบว่าชาวบนีอิสรออีลที่นั่นถือศีลอดในวันที่ 10 เดือนมุฮัรฺร็อม (วันอาชูรอ) ท่านจึงได้ถามคนกลุ่มนี้ถึงเหตุผลในการถือศีลอดในวันนั้น ชาวบนีอิสรออีลตอบท่านว่า “มันเป็นวันดีวันหนึ่ง” (วันที่โมเสสช่วยชาวยิวให้รอดพ้นจากฟาโรห์)นบีมุฮัมมัดจึงบอกชาวยิวว่า “เราใกล้ชิดโมเสสมากกว่าพวกท่านเสียอีก”
ในเวลานั้น คำบัญชาเรื่องการถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอนยังไม่ได้ถูกประทานมา นบีมุฮัมมัดได้ถือศีลอดในวันนั้นตามชาวบนีอิสรออีลและท่านได้สั่งมุสลิมในมะดีนะฮฺให้ถือศีลอดตามแบบชาวบนีอิสรออีล เพราะท่านถือว่าโมเสสเป็นนบีของพระเจ้า ท่านจึงปฏิบัติตาม
ในปีถัดมา นบีมุฮัมมัดได้รับคำบัญชาให้ถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอน การถือศีลอดในวันที่ 10 เดือนมุฮัรฺร็อมจึงเป็นสิ่งที่มุสลิมสามารถเลือกปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติก็ได้ตามความสมัครใจ ไม่ใช่ข้อบังคับเหมือนกับการถือศีลอดในเดือนเราะฎอน
ในสมัยของนบีมุฮัมมัด มุสลิมยังไม่มีศักราชของตนเอง หลังสมัยนบีมุฮัมมัด ใน ค.ศ.638 ซึ่งเป็นสมัยการปกครองของเคาะลีฟะฮฺอุมัรฺ อาณาเขตของรัฐอิสลามขยายกว้างออกไป อบูมูซา อัชอะรีย์ เจ้าหน้าที่ปกครองของอุมัรฺในเมืองบัศเราะฮฺในประเทศอิรักได้ร้องเรียนว่าจดหมายที่เขาได้รับจากอุมัรฺไม่ได้ระบุปีไว้ ทำให้เขาไม่อาจจำได้ว่าจดหมายฉบับใดเป็นฉบับล่าสุด ดังนั้น เคาะลีฟะฮฺอุมัรฺจึงเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่มุสลิมต้องมีการกำหนดศักราชของตนเอง
หลังจากปรึกษาหารือกับผู้อาวุโส อุมัรฺก็ตัดสินใจว่าศักราชของอิสลามควรเริ่มต้นตั้งแต่ปีที่นบีมุฮัมมัดอพยพมาถึงเมืองมะดีนะฮฺ อุษมาน บินอัฟฟาน สาวกผู้อาวุโสคนหนึ่งแนะนำว่าปฏิทินอิสลามควรเริ่มต้นด้วยเดือนมุฮัรฺร็อมตามประเพณีของชาวอาหรับแม้ในความเป็นจริงแล้ว นบีมุฮัมมัดอพยพมาถึงเมืองมะดีนะฮฺในเดือนถัดจากนั้นก็ตาม นับแต่นั้นมา ศักราชของอิสลามจึงเริ่มต้นและถูกเรียกว่า “ฮิจญ์เราะฮฺศักราช” เพราะฮิจญ์เราะฮฺหมายถึงการอพยพ
แม้มุสลิมทั่วโลกไม่เฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ตามปฏิทินฮิจญ์เราะฮฺศักราช แต่ในวันที่ 9 และ 10 ของเดือนมุฮัรฺร็อม ประชาคมมุสลิมซุนนีส่วนใหญ่จะมีประเพณีปฏิบัติร่วมกันอย่างหนึ่ง นั่นคือการถือศีลอดด้วยความสมัครใจ บางชุมชนเชื่อว่าวันที่ 10 เดือนมุฮัรฺร็อมเป็นวันที่เรือของโนอาห์(นบีนูฮฺ)ได้เกยตื้นบนภูเขาญูดีและโนอาห์ได้เอาเมล็ดธัญพืชทั้งหมดที่เหลืออยู่ในเรือมากวนเป็นอาหารแจกผู้ที่เหลือรอดชีวิต จึงได้จัดประเพณีกวนเมล็ดธัญพืชที่เรียกว่า “บูโบอาชูรอ” เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าว
ส่วนชุมชนชาวชีอะฮ์จะจัดพิธีอาลัยอาวรณ์ถึงการจากไปของอิมามฮุเซนหลานของนบีมุฮัมมัด
Share:

อีดุลอัฎฮาที่สตูล

บรรจง บินกาซัน
สตูลเป็นจังหวัดเล็กๆที่มีเสน่ห์และสงบริมชายฝั่งทะเลอันดามัน เนื่องจากในอดีตเคยเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของไทรบุรีที่ถูกแยกออกไปเป็นรัฐเคดาห์ของมาเลเซีย ผู้คนบางส่วนจึงสามารถสื่อสารด้วยภาษามลายูได้ แต่ผู้คนส่วนใหญ่มักพูดภาษาไทยกลางและประชาชนไม่ต่ำกว่า 60% ในจังหวัดสตูลเป็นมุสลิม

ในช่วงปีกว่าๆที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปสัมผัสบรรยากาศเฉลิมฉลองวันเทศกาลสำคัญของศาสนาอิสลามที่จังหวัดสตูลถึงสองครั้ง คือเทศกาลวันอีดุลฟิฏร์และวันอีดุลอัลฎฮา จึงอยากนำมาถ่ายทอดให้ท่านผู้อ่านได้รับรู้และเผื่อว่าชุมชนมุสลิมจะนำไปทำตามก็ถือว่าเป็นเรื่องดี
ในเทศกาลอีดุลฟิฏร์ซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองการสิ้นสุดเดือนถือศีลอดเมื่อปีที่แล้ว กลุ่มนักธุรกิจเอกชนมุสลิม ร้านค้าและหน่วยงานราชการในอำเภอเมืองได้ร่วมกันเปิดซุ้มอาหารคาวหวานและเครื่องดื่มประมาณ 300 ซุ้มบนถนนหน้ามัสยิดมัมบังเลี้ยงคนทั่วไปไม่เฉพาะมุสลิมได้กินกันเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการสิ้นสุดเดือนรอมฎอน บนเวทีของงานฉลองมีการแสดงทางวัฒนธรรมและการบรรยายให้ความรู้แก่ผู้มาร่วมฉลองในงาน งานฉลองเป็นไปอย่างครึกครื้น ไม่มีการทะเลาะวิวาทต่อยตีกันเพราะไม่มีสุราและมหรสพในงาน

มาในปีนี้ เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปร่วมฉลองเทศกาลวันอีดุลอัฎฮาซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองให้พี่น้องมุสลิมทั่วโลกที่มีโอกาสไปทำพิธีฮัจญ์ที่เมืองมักก๊ะฮฺ แต่งานเฉลิมฉลองวันอีดุลอัฎฮาคราวนี้ต่างไปจากงานฉลองวันอีดุลฟิฏร์
ผู้จัดงานครั้งนี้มีแนวความคิดว่าในวันอีดุลอัฎฮา มุสลิมจากทั่วโลกไปชุมนุมกันที่เมืองมักก๊ะฮฺ ดังนั้น มุสลิมในตัวเมืองสตูลก็ควรมารวมตัวกันฉลองกันที่ใดที่หนึ่ง ด้วยเหตุนี้ ผู้จัดงานจึงเลือกเอาลานกว้างหน้าสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสตูลเป็นสถานที่จัดงานโดยมีบรรยากาศแบบครอบครัว ผมถูกเชิญให้ไปเป็นส่วนหนึ่งในงานนี้ด้วย
งานนี้จัดบรรยากาศแบบเลี้ยงดูปูเสื่อ คือผู้จัดงานได้เอาเสื่อมาปูในลานกว้างเพื่อให้ผู้คนพาครอบครัวนำอาหารมาแบ่งกันกินบนพื้นหน้าเวที ถ้าใครมามือเปล่า ภายในงานก็มีซุ้มอาหารที่จัดเตรียมไว้อย่างเหลือเฟือ แต่อาหารที่จัดเลี้ยงในงานครั้งนี้ต่างไปจากอาหารในงานฉลองครั้งที่แล้ว เพราะอาหารส่วนใหญ่ทำมาจากเนื้อกุรฺบานที่พี่น้องมุสลิมจากที่ต่างๆบริจาคมาให้ทำเป็นอาหารสารพัดเมนู
เนื้อกุรฺบานเป็นเนื้อแพะหรือแกะหรือวัวที่ถูกเชือดพลีในเทศกาลอีดุลอัฎฮาเพื่อเป็นการระลึกถึงวีรกรรมแห่งความศรัทธาอันแน่วแน่ของนบีอิบรอฮีมที่มีต่อพระเจ้าจนถึงขึ้นยอมเชือดพลีอิสมาอีลบุตรคนแรกให้แก่พระเจ้าที่ต้องการทดสอบความศรัทธา แต่ก่อนจะลงมีดเชือด พระเจ้าได้สั่งให้นบีอิบรอฮีมเอาแกะหรือแพะมาเชือดแทน พิธีการเชือดสัตว์พลีจึงเป็นส่วนหนึ่งของพิธีฮัจญ์ซึ่งคนที่ไม่ได้ไปทำฮัจญ์สามารถมีส่วนร่วมได้

คำว่า “กุรฺบาน” หมายถึงการเข้าใกล้ การเชือดสัตว์พลีเนื่องในเทศกาลอีดุลอัฎฮาจึงเป็นการเข้าใกล้พระเจ้าด้วยการเสียสละแกะหรือแพะหรือวัวเพื่อเอาเนื้อไปกินและแจกจ่ายแก่ผู้คน เนื้อของสัตว์ที่ถูกเชือดเป็นกุรฺบานจะถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนหนึ่งเป็นของเจ้าของ อีกส่วนหนึ่งแจกจ่ายให้ญาติมิตรและอีกส่วนหนึ่งแจกจ่ายให้แก่คนยากจน แต่ส่วนใหญ่แล้ว เนื้อกุรฺบานจะถูกนำไปแจกจ่ายแก่คนยากจน
ผมรู้สึกทึ่งและชื่นชมในแนวความคิดของผู้จัดงานครั้งนี้ที่รณรงค์ให้มุสลิมออมเงินสัปดาห์ละ 100 บาทเพื่อเอาไว้ทำกุรฺบาน เก็บทุกสัปดาห์ตลอดทั้งปีก็ได้เงินห้าพันกว่าบาทซึ่งสามารถทำกุรฺบานในปีหน้าได้อย่างสบายๆ ถ้าการรณรงค์ได้รับการตอบสนอง ผู้ที่จะได้รับผลดีตามมาก็คือผู้เลี้ยงปศุสัตว์ที่จะต้องขยายและบำรุงพันธุ์สัตว์ของตนให้เป็นที่ต้องการ เพราะแพะแกะหรือวัวที่จะนำไปทำกุรฺบานต้องสุขภาพดี อ้วนท้วนสมบูรณ์ ไม่มีตำหนิหรือพิการ
ในออสเตรเลียและในประเทศยุโรปที่มีอุปสรรคเรื่องการเชือดสัตว์ มุสลิมในประเทศเหล่านั้นได้ส่งเงินไปยังชุมชนในประเทศมุสลิมที่ยากจนเพื่อซื้อปศุสัตว์ทำกุรฺบานและแจกจ่ายเนื้อแก่ผู้คนในประเทศนั้นได้กินกัน
นี่เป็นหนึ่งในคุณานุประโยชน์จากพิธีฮัจญ์ที่คัมภีร์กุรอานได้กล่าวไว้

ข้อมูลจาก Facebook : Banjong Binkason
Share:

สัญญาณของการอ่อนศรัทธา

สัญญาณของการอ่อนศรัทธา


รถยนต์ต้องการพลังงานไฟฟ้าเพื่อการทำงานของเครื่องยนต์ฉันใด ชีวิตก็ต้องการพลังเพื่อผลักดันตัวตนไปสู่จุดหมายปลายทางฉันนั้น แต่พลังของชีวิตที่แท้จริงนั้นมิใช่อาหารที่หล่อเลี้ยงร่างกาย หากแต่เป็นความศรัทธาที่จะตัดสินจุดหมายปลายของเราในภพหน้า  ดังนั้น มุสลิมจึงต้องพยายามรักษาความศรัทธาให้เต็มอยู่เสมอเพื่อที่ชีวิตของเราจะได้เดินทางไปสู่จุดหมายนั้น  และถ้าหากว่าท่านพบอาการต่อไปนี้เกิดขึ้นกับตัวของท่าน ก็ขอให้รู้ว่านั่นคือสัญญาณเตือนให้รู้ว่าพลังแห่งความศรัทธาของท่านกำลังอ่อนลงแล้ว สัญญาณดังกล่าวได้แก่
  1. ทำผิดแล้วยังไม่รู้สึกว่าตัวเองผิด
  2. หัวใจแข็งกระด้างและไม่ต้องการที่จะอ่านกุรอาน
  3. รู้สึกขี้เกียจที่จะทำความดี เช่น ล่าช้าในการนมาซ
  4. ละทิ้งแบบอย่างคำสอนของท่านนบีฯ
  5. อารมณ์ฉุนเฉียว ตัวอย่างเช่น หงุดหงิดในเรื่องเล็กๆน้อยๆและชอบกระฟัดกระเฟียด
  6. ไม่รู้สึกอะไรเมื่อได้ยินถ้อยคำจากกุรอาน เช่นเมื่ออัลลอฮฺเตือนถึงการลงโทษหรือแจ้งข่าวดี
  7. รู้สึกยากลำบากในการรำลึกถึงอัลลอฮฺ
  8. ไม่รู้สึกอะไรเมื่อมีการทำสิ่งที่ฝืนบทบัญญัติแห่งอิสลามเกิดขึ้น
  9. อยากได้ฐานะและทรัพย์สิน
  10. ไม่ต้องการที่จะจากทรัพย์สินไป
  11. สั่งให้คนอื่นทำดี แต่ตัวเองไม่ทำ
  12. รู้สึกดีใจเมื่อเห็นคนอื่นไม่ได้รับความก้าวหน้า
  13. เห็นคนทำความดีเล็กๆน้อยๆเป็นเรื่องขบขัน เช่น การทำความสะอาดมัสญิด
  14. ไม่รู้สึกเป็นห่วงเป็นใยในสถานการณ์ของมุสลิม
  15. ไม่รู้สึกมีความรับผิดชอบที่จะทำอะไรเพื่อส่งเสริมอิสลาม
  16. ไม่สามารถเผชิญกับความสูญเสียได้ เช่น ร้องไห้คร่ำครวญในงานศพ
  17. ชอบที่จะเถียงโดยไม่มีเหตุผล
  18. คิดแต่เรื่องของตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้น จงสำรวจตรวจสอบจุดต่างๆดังกล่าวมาอย่างสม่ำเสมอและพยายามเร่งปรับปรุงแก้ไขเสียเพื่อที่ชีวิตของเราจะได้ไปถึงปลายทางที่ดี
Share:

ซัมซัม : ของขวัญจากอัลลอฮฺ แก่บรรดาผู้ศรัทธา

ซัมซัม : ของขวัญจากอัลลอฮฺ แก่บรรดาผู้ศรัทธา


บันทึกการตรวจสอบและทดสอบ โดย ฏอรีก ฮุซเซน และมุอีนุดดีน อะหมัด
บรรจง บินกาซัน แปล
          เมื่อช่วงเวลาแห่งการทำฮัจญ์เวียนมาถึงครั้งใด มันเตือนให้ผมนึกถึงความมหัศจรรย์แห่งน้ำซัมซัมทุกที สิ่งที่กลายเป็นความทรงจำของผมนี้เริ่มต้นในปี ค.ศ.1971 โดยการที่มีหมอชาวอียิปต์คนหนึ่งได้เขียนจดหมายไปเล่าให้หนังสือพิมพ์ยุโรปว่าน้ำซัมซัมไม่เหมาะสำหรับดื่ม
เดิมทีผมคิดว่านี่เป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของความอคติที่มีต่อมุสลิมและคำพูดของหมอผู้นี้อาจจะอาศัยเหตุผลมาจากความคิดที่ว่าก๊ะอฺบ๊ะฮฺเป็นสถานที่ต่ำ(ใต้ระดับน้ำทะเล)และตั้งอยู่ในใจกลางเมืองมักก๊ะฮฺ  น้ำเสียทั้งหลายของเมืองจะไหลมารวมกันในบ่อน้ำแห่งนี้
โชคดีที่กษัตริย์ไฟซอลแห่งซาอุดิอารเบียได้ยินข่าวนี้ พระองค์จึงโกรธเป็นอย่างมากและต้องการที่จะลบล้างคำพูดยั่วยุของหมอชาวอียิปต์คนนั้น พระองค์ได้มีบัญชาไปถึงกระทรวงทรัพยากรเกษตรและน้ำให้ทำการสอบสวนและได้ส่งตัวอย่างของน้ำซัมซัมไปยังห้องทดลอง ทางวิทยาศาสตร์ในยุโรปเพื่อทดสอบว่าน้ำซัมซัมสามารถดื่มได้หรือไม่  ดังนั้น กระทรวงจึงได้สั่งให้โรงงานพลังงานและแยกเกลือญิดด๊ะฮฺทำการทดสอบ  และที่โรงงานแห่งนี้เองที่ผมได้ถูกจ้างให้มาทำหน้าที่ในฐานะวิศวกรพิสูจน์น้ำ
ผมจำได้ว่าผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าบ่อน้ำซัมซัมมีอะไรอยู่และน้ำในบ่อนี้มีลักษณะเหมือนอะไร  ผมได้ไปยังมักก๊ะฮฺและได้ไปรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ดูแลก๊ะอฺบ๊ะฮฺเพื่ออธิบายถึงวัตถุประสงค์ในการมาของผม  หลังจากนั้น พวกเขาก็ส่งคนผู้หนึ่งให้มาคอยช่วยเหลือผมตามที่ผมต้องการ  เมื่อมาถึงบ่อน้ำ ผมแทบไม่เชื่อว่าบ่อน้ำซึ่งมีลักษณะเหมือนแอ่งน้ำเล็กๆแอ่งหนึ่งกว้างยาวประมาณ 18 x14 ฟุตจะเป็นบ่อน้ำที่ให้น้ำนับล้านแกลลอนทุกปีแก่บรรดาผู้ไปประกอบพิธีฮัจญ์นับตั้งแต่มันเกิดขึ้นมาในสมัยของนบีอิบรอฮีมเมื่อหลายพันปีก่อนหน้านี้
ผมเริ่มการตรวจสอบโดยเริ่มต้นจากการวัดขนาดของบ่อน้ำทั้งด้านกว้าง ด้านยาวและความลึก  ผมขอให้คนผู้นั้นแสดงถึงความลึกของบ่อน้ำ  เขาจึงเริ่มอาบน้ำชำระล้างตัวของเขาและลงไปในบ่อแล้วยืดตัวตรง  ผมเห็นระดับน้ำสูงขึ้นมาแค่ไหล่ของเขาเท่านั้น  เขาสูงประมาณ 5 ฟุต 8 นิ้ว หลังจากนั้น เขาก็ย้ายจากมุมหนึ่งของบ่อน้ำไปยังอีกมุมหนึ่งโดยไม่อนุญาตให้จุ่มหัวลงไปในน้ำเพื่อหาดูว่าในบ่อน้ำมีท่อน้ำมาจากที่ไหน  อย่างไรก็ตาม คนผู้นั้นก็รายงานว่าเขาไม่พบท่อน้ำใดๆในบ่อน้ำ  ผมจึงเกิดความคิดขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง  นั่นคือ การใช้ปั๊มน้ำขนาดใหญ่ที่ติดตั้งอยู่ในบ่อน้ำสูบน้ำขึ้นมาอย่างรวดเร็วและมาขังไว้ในถังน้ำซัมซัม ด้วยวิธีการนี้จะทำให้ระดับน้ำในบ่อลดลงอย่างรวดเร็วจนเราสามารถหาที่มาของน้ำได้
เป็นเรื่องน่าประหลาดที่เราไม่เห็นสิ่งใดในระหว่างที่มีการสูบน้ำออก แต่ผมรู้ว่านี่เป็นเพียงวิธีการหนึ่งที่เขาสามารถพบทางเข้าของน้ำมายังบ่อแห่งนี้ได้  ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจที่จะทำมันอีกครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้ ผมได้สั่งคนผู้นั้นให้ยืนอยู่ในที่แห่งหนึ่งและคอยเฝ้าดูสิ่งผิดปกติใดๆที่จะเกิดขึ้นในบ่อน้ำ  หลังจากนั้นสักครู่หนึ่ง เขาก็ยกมือขึ้นและร้องตะโกนว่า “อัลฮัมดุลิลลาฮฺ ผมพบมันแล้ว ทรายกำลังขยับตัวอยู่ใต้เท้าของผมขณะที่น้ำไหลซึมออกมาจากก้นบ่อ”  หลังจากนั้น เขาก็เคลื่อนตัวไปรอบบ่อในระหว่างที่มีการปั๊มน้ำและสังเกตเห็นปรากฏการณ์อย่างเดียวกันทุกแห่งในบ่อน้ำ  ความจริงแล้ว น้ำที่เข้ามาในบ่อนี้ไหลเข้ามาจากก้นบ่อทุกจุด ดังนั้น มันจึงรักษาระดับน้ำให้คงที่อยู่ตลอดเวลา
หลังจากเสร็จสิ้นการสังเกตการณ์แล้ว ผมก็นำตัวอย่างของน้ำไปทดสอบในห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ในยุโรป  ก่อนที่ผมจะออกมาจากก๊ะอฺบ๊ะฮฺ ผมได้ถามเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องบ่อน้ำอื่นๆรอบมักก๊ะฮฺ และก็ได้ทราบว่าบ่อน้ำเหล่านั้นแห้งเกือบหมดแล้ว  เมื่อไปถึงสำนักงานของผมในญิดด๊ะฮฺ ผมก็รายงานเรื่องการพบของผมให้นายของผมฟัง นายของผมฟังด้วยความสนใจอย่างมาก แต่ก็แสดงความเห็นที่ไร้เหตุผลว่าบ่อน้ำซัมซัมอาจจะเชื่อมโยงกับทะเลแดง  เป็นไปได้อย่างไรในเมื่อมักก๊ะฮฺห่างจากทะเลประมาณ 75 กิโลเมตรและบ่อน้ำต่างๆที่ตั้งอยู่ก่อนจะถึงตัวเมืองล้วนแห้งขอดหมดแล้ว ?  ผลของการทดสอบตัวอย่างน้ำโดยห้องทดลองของยุโรปและที่ถูกวิเคราะห์ในห้องทดลองของเรานั้นแทบจะเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน
ความแตกต่างระหว่างน้ำซัมซัมและน้ำอื่นๆในเมืองก็คือปริมาณเกลือแคลเซียมและเกลือแมกนีเซียม ปรากฏว่าในน้ำซัมซัมมีสารเหล่านี้สูงกว่านิดหน่อย  นี่อาจเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมน้ำซัมซัมจึงทำให้ผู้ทำฮัจญ์ที่เหนื่อยล้าเกิดความสดชื่น  แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ น้ำซัมซัมมีสารฟลูออไรด์ที่มีผลต่อการฆ่าเชื้อโรค
ยิ่งไปกว่านั้น คำพูดของผู้ปฏิบัติการในห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ในยุโรปก็แสดงว่าน้ำซัมซัมเหมาะสำหรับดื่ม  ดังนั้น คำพูดของหมอชาวอียิปต์จึงถูกพิสูจน์ว่าเป็นคำพูดเท็จ  เมื่อเรื่องนี้ได้ถูกรายงานถึงกษัตริย์ไฟซอล  พระองค์ทรงยินดีมากและได้สั่งตอบโต้รายงานที่ลงในหนังสือพิมพ์ยุโรป ในด้านหนึ่ง มันเป็นเรื่องดีงามอย่างยิ่งที่การศึกษานี้ได้ถูกทำขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นถึงองค์ประกอบทางเคมีของน้ำซัมซัม ความจริงแล้ว ยิ่งเราค้นคว้ามากขึ้น เราก็จะพบความน่าประหลาดใจมากขึ้นซึ่งทำให้เราเชื่อในความมหัศจรรย์ว่าอัลลอฮฺได้ประทานมันเป็นของขวัญสำหรับบรรดาผู้ศรัทธาที่เดินทางจากแดนไกลเพื่อมาทำฮัจญ์ยังแผ่นดินทะเลทรายแห่งนี้
ผมจึงอยากสรุปถึงลักษณะของน้ำซัมซัมว่าบ่อน้ำแห่งนี้ไม่เคยแห้งขอด ในทางตรงกันข้าม มันจะตอบสนองความต้องการน้ำอยู่เสมอ มันจะรักษาองค์ประกอบของเกลือและรสชาติอย่างเดียวกันนี้ไว้ตั้งแต่มันเกิดขึ้นมาแล้ว  น้ำซัมซัมเป็นที่ยอมรับว่าใช้ดื่มได้ดังจะเห็นได้จากผู้มาเยี่ยมเยียนก๊ะอฺบ๊ะฮฺเพื่อทำฮัจญ์และอุมเราะฮฺได้ดื่มกันโดยไม่เคยมีใครบ่นถึงเรื่องนี้  แต่พวกเขากลับมีความสุขกับการดื่มน้ำซัมซัมที่ทำให้พวกเขาสดชื่น
น้ำซัมซัมไม่เคยผ่านกระบวนการเคมีบำบัดหรือใช้สารคลอรีนทำความสะอาดดังที่ปฏิบัติกันกับน้ำที่ถูกปั๊มเข้าไปในเมือง  การเจริญเติบโตทางด้านชีวภาพและการเกิดขึ้นของพืชมักจะเกิดขึ้นในบ่อน้ำส่วนใหญ่ซึ่งทำให้น้ำมีรสชาติไม่ถูกปากอันเนื่องมาจากการเจริญเติบโตของตะไคร่ที่สร้างปัญหารสและกลิ่นขึ้นมา  แต่ในกรณีของบ่อน้ำซัมซัมนั้น เราไม่เห็นสิ่งใดๆที่แสดงถึงการเจริญเติบโตทางด้านชีวภาพเลย
หลายศตวรรษก่อนหน้านี้ นางฮาญัรฺ แม่ของอิสมาอีลได้ออกแสวงหาน้ำในเนินเขาเศาะฟาและมัรวะฮ์ให้แก่ลูกของนางด้วยความสิ้นหวัง  ขณะที่นางวิ่งจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งเพื่อแสวงหาน้ำอยู่นั้น บ่อน้ำแห่งหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาบนผิวดิน ด้วยความโปรดปรานของอัลลอฮฺ บ่อน้ำแห่งนั้นได้กลายมาเป็นบ่อน้ำแห่งหนึ่งซึ่งถูกเรียกว่าซัมซัม

Share:

จะปฏิบัติต่อพ่อแม่อย่างไรเมื่อพ่อแม่ไม่พอใจที่เราเข้ารับอิสลาม ?

จะปฏิบัติต่อพ่อแม่อย่างไรเมื่อพ่อแม่ไม่พอใจที่เราเข้ารับอิสลาม ?

คนที่เข้ารับอิสลามและไม่ถูกพ่อแม่ต่อต้านนั้นถือว่าเป็นผู้โชคดี  แต่มิใช่ว่าทุกคนที่เข้ารับอิสลามจะโชคดีเช่นนั้นเสมอไป เพราะบางคนถูกพ่อแม่แอนตี้จนลำบากใจในการที่จะดำรงชีวิตมุสลิม ความจริงแล้ว เรื่องเช่นนี้มิใช่เพิ่งจะมีในปัจจุบัน หากแต่มีมานานแล้ว แม้แต่ในสมัยของท่านศาสดามุฮัมมัดเอง
สำหรับคนที่เจอปัญหาพ่อแม่ไม่พอใจที่ตัวเองเข้ารับอิสลาม ลองอ่านเรื่องราวจากบทความนี้ดู เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยในการปฏิบัติต่อพ่อแม่ของตนซึ่งถือว่าเป็นผู้มีพระคุณสูงสุดในบรรดามนุษย์ด้วยกัน
ครั้งหนึ่ง แม่ของซะด์ บิน อบีวักกอศ สาวกคนหนึ่งของท่านศาสดามุฮัมมัดสาบานว่านางจะไม่พูดกับเขาและนางจะไม่กินและไม่ดื่มจนกว่าเขาจะเลิกนับถืออิสลาม นางหยิบยกเอาคำสอนของอิสลามมากล่าวอ้างว่า “อัลลอฮฺได้สั่งเจ้าให้เชื่อฟังพ่อแม่  ฉันเป็นแม่ของเจ้า  ดังนั้น เจ้าจะต้องเชื่อฟังฉัน”  หลังจากนั้น นางก็ทำตามที่นางได้กล่าวไว้  ด้วยเหตุนี้ อัลลอฮฺจึงได้ประทานกุรอานต่อไปนี้ลงมาเพื่อเป็นแนวทางให้ผู้มาเข้ารับอิสลามและประสบปัญหาดังกล่าวได้นำไปปฏิบัติ :
“เราได้กำชับมนุษย์ให้ทำดีต่อพ่อแม่ของเขา แต่ถึงกระนั้น หากเขาทั้งสองบังคับให้สูเจ้าเคารพสักการะสิ่งใดควบคู่ไปกับฉันซึ่งสูเจ้าไม่มีความรู้  ก็จงอย่างเชื่อฟังทั้งสอง” (กุรอาน 29 :8)
นอกจากนี้แล้ว อัลลอฮฺยังได้ทรงกล่าวอีกว่า :
“หากทั้งสองบังคับสูเจ้าให้นำสิ่งใดมาเป็นพระเจ้าร่วมกับฉันโดยที่สูเจ้าไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น  สูเจ้าจงอย่าได้เชื่อฟังเขาทั้งสอง แต่ถึงกระนั้นก็จงอดทนอยู่กับเขาทั้งสองในโลกนี้ด้วยการทำความดี” (กุรอาน 31:15)
คัมภีร์กุรอานทั้งสองวรรคที่กล่าวมาข้างต้นนั้นพูดถึงเรื่องการปฏิบัติต่อพ่อแม่ที่มิใช่มุสลิมไว้อย่างชัดเจน  เราจะต้องไม่คิดว่าการเชื่อฟังพ่อแม่ในเรื่องของการปฏิเสธพระเจ้าและเรื่องบาปเป็นสิ่งดีหรือเห็นว่าเป็นเรื่องของการทำความดีต่อพ่อแม่  สิทธิของอัลลอฮฺนั้นต้องมาก่อนใครอื่นใดเสมอสำหรับมุสลิม
นอกจากนั้นแล้ว การเชื่อฟังก็มิได้หมายถึงการเข้าไปทำสิ่งต้องห้ามหรือสิ่งที่ละเมิดขอบเขตคำสั่งของอัลลอฮฺ  ยิ่งในสังคมไทยซึ่งเป็นสังคมหลายศาสนาด้วยแล้ว ผู้ที่มาเข้ารับอิสลามจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษโดยเฉพาะในเทศกาลต่างๆซึ่งบางครั้งเราอาจจะมีความจำเป็นต้องกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ เช่น วันตรุษจีน วันคริสต์มาส วันสงกรานต์ ปีใหม่ หรือแม้แต่วันเวลาไทน์ที่คนไทยลอกเลียนจนเกินฝรั่งและอื่นๆ  เทศกาลเหล่านี้ล้วนมีที่มาจากความเชื่อทางศาสนาหรือไม่ก็จะมีเรื่องศาสนามาเกี่ยวข้องด้วยทั้งสิ้น มุสลิมจึงไม่อาจไปเข้าร่วมได้เลย  ดังนั้น ถ้าคิดว่าความศรัทธาเราไม่แข็งพอหรือเราไม่สามารถทนการรบเร้าของพ่อแม่ญาติพี่น้องให้ทำในสิ่งที่เกินขอบเขตของอิสลามก็ไม่ควรจะกลับไปพบปะพ่อแม่ญาติพี่น้องของตนในระหว่างเทศกาลดังกล่าว

อย่าตัดความสัมพันธ์กับพ่อแม่และญาติพี่น้อง
ถึงจะถูกต่อต้านอย่างไรก็ตาม อิสลามก็ห้ามตัดความสัมพันธ์ทางเครือญาติ ประการแรก ขอให้เราตระหนักว่านี่คือการทดสอบจากอัลลอฮฺ เพราะอัลลอฮฺได้กล่าวไว้แล้วว่าพระองค์จะไม่ปล่อยให้ใครกล่าวว่าตัวเองเป็นผู้ศรัทธาโดยไม่ถูกทดสอบ และประการที่สอง ลองอ่านความหมายของกุรอาน 31:15 ข้างต้นดีๆอีกทีหนึ่ง เราจะพบว่ากุรอานมิได้สั่งให้ “ตัดความสัมพันธ์” หากแต่สั่งว่า “จงอย่าเชื่อฟัง” ในเรื่องของการนำสิ่งใดมาเป็นที่เคารพสักการะและวิงวอนควบคู่ไปกับอัลลอฮฺต่างหาก  ส่วนในเรื่องอื่นๆที่เป็นการทำความดีต่อพ่อแม่ในชีวิตแห่งโลกนี้ เราก็ยังคงต้องปฏิบัติอยู่เหมือนเดิมและต้องดีกว่าเก่าด้วยซ้ำ เพราะพ่อแม่ของเรายังคงมีสิทธิ์เหนือเราอยู่  ดังนั้น เราจึงต้องรักษาความสัมพันธ์กับท่านไว้ให้ดีที่สุด
ครั้งหนึ่ง อัสมาอ์ลูกสาวของอบูบักรฺเพื่อนสนิทของท่านศาสดามุฮัมมัดได้อพยพมายังมะดีนะฮฺกับพ่อของเธอ หลังจากการทำสัญญาฮุดัยบียะฮฺซึ่งทำให้มุสลิมสามารถไปมาหาสู่กันได้ แม่ของเธอได้มาเยี่ยมเธอที่มะดีนะฮฺ  ก่อนที่จะเดินทางกลับ นางได้ขอของขวัญบางอย่างจากอัสมา  แต่อัสมาไม่แน่ใจเพราะว่าแม่ของเธอเกลียดชังอิสลามและเป็นผู้บูชาเทวรูป เธอจึงไปหาท่านศาสดามุฮัมมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) และถามว่าเธอควรจะปฏิบัติตัวกับแม่ของเธออย่างไรและสามารถให้ของขวัญแก่แม่ของเธอได้หรือไม่  ท่านศาสดาได้ตอบว่า “ได้สิ  และจงปฏิบัติกับแม่ของเธออย่างดี”
 สิ่งที่ดีที่สุดที่ลูกจะทำได้ในขณะที่พ่อแม่ยังมีชีวิต
ผู้ที่มีพ่อแม่มิใช่มุสลิมสามารถที่จะวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺให้พ่อแม่ของตัวเองได้  อัลลอฮฺทรงกล่าวว่า “ไม่เป็นการเหมาะสมสำหรับนบีและบรรดาผู้ศรัทธาที่จะวิงวอนขอพระเจ้าให้อภัยโทษแก่บรรดาผู้ตั้งภาคีถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นญาติสนิทก็ตามหลังจากที่ได้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นชาวนรก” (กุรอาน 9:13)
ที่กล่าวมานั้นหมายความว่าหลังจากที่พ่อแม่ของเราได้เสียชีวิตไปแล้วในสภาพที่มิใช่มุสลิม  อย่างไรก็ตาม อิสลามก็อนุญาตให้ลูกชักชวนพ่อแม่มาสู่อิสลามในขณะที่ท่านทั้งสองยังมีชีวิต
ในสมัยของท่านศาสดามุฮัมมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) อบูฮุร็อยเราะฮฺสาวกของท่านคนหนึ่งได้มาเข้ารับอิสลาม แต่แม่ของเขายังคงเป็นผู้ปฏิเสธพระเจ้า ท่านได้พยายามที่จะชักชวนแม่ของเขาให้มาเข้ารับอิสลามอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงเคารพและเชื่อฟังแม่มาโดยตลอด  ครั้งหนึ่ง เมื่อเขาพยายามเชิญชวนแม่ให้มาสู่อิสลาม แต่แม่ของเขากลับกล่าวคำพูดที่ดูถูกท่านศาสดา  อบูฮุร็อยเราะฮฺรู้สึกเจ็บปวดมาก ดังนั้น เขาจึงได้ไปหาท่านนบีและกล่าวว่า “ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ ฉันพยายามทุกอย่างที่จะทำให้แม่ของฉันยอมรับอิสลาม  แต่แม่ปฏิเสธตลอดเวลา  วันนี้ เมื่อฉันขอให้แม่ศรัทธาในอัลลอฮฺผู้สูงส่ง แม่กลับไม่พอใจเป็นอย่างมากและพูดจาดูถูกท่านจนฉันต้องน้ำตาไหลเพราะทนไม่ได้  ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ โปรดวิงวอนต่ออัลลอฮฺให้ทรงเปิดหัวใจของแม่ฉันให้มาสู่อิสลามด้วยเถิด” ท่านศาสดามุฮัมมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) ได้ยกมือของท่านขึ้นทันทีและวิงวอนว่า “ข้าแต่อัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่  โปรดทรงนำทางแม่ของอบูฮุร็อยเราะฮฺด้วยเถิด”  เมื่อได้ยินเช่นนั้น อบูฮุร็อยเราะฮฺก็ดีใจและได้กลับไปบ้าน
เมื่อเขามาถึงบ้าน เขาก็พบว่าประตูถูกปิดสลักอยู่ทางด้านใน แต่เขาได้ยินเสียงน้ำไหลซึ่งแสดงว่าแม่ของเขากำลังอาบน้ำอยู่  หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว แม่ของเขาก็มาเปิดประตู และเมื่อเขาเข้าไปข้างในบ้าน แม่ของเขาก็กล่าวว่า “ลูกเอ๋ย อัลลอฮฺทรงได้ยินเจ้า จงเป็นพยานด้วยว่าแม่กล่าวชะฮาด๊ะฮฺ(คำปฏิญาณเข้ารับอิสลาม)”  เมื่อได้ยินเช่นนั้น อบูฮุร็อยเราะฮฺก็ร้องไห้ออกมาด้วยยินดีและเขาได้ไปหาท่านศาสดาเพื่อบอกท่านว่าอัลลอฮฺได้ทรงรับคำวิงวอนของท่านแล้ว  ท่านศาสดาได้สรรเสริญอัลลอฮฺและได้ให้ข้อแนะนำบางอย่างแก่อบูฮุร็อยเราะฮฺ  หลังจากนั้นท่านก็วิงวอนต่ออัลลอฮฺว่า “โอ้ อัลลอฮฺ ขอพระองค์ได้ทรงประทานความรักของอบูฮุร็อยเราะฮฺกับแม่ของเขาลงในหัวใจของมุสลิมที่แท้จริงทุกคนและขอพระองค์ทรงประทานความรักของมุสลิมที่แท้จริงทุกคนลงในหัวใจของคนทั้งสองด้วยเถิด”
สรุปก็คือ ถ้าหากว่ามันไม่ใช่เรื่องของความเชื่อและเรื่องรากฐานของอิสลามแล้ว กฎที่จะต้องปฏิบัติต่อพ่อแม่และญาติใกล้ชิดก็คือจงทำดีกับคนเหล่านั้นให้มากที่สุด การให้ความรักและการปฏิบัติด้วยดีต่อคนเหล่านั้นมิใช่แค่เพียงหน้าที่ของเราเท่านั้น  หากแต่มันยังเป็นสิ่งที่จะทำให้คนเหล่านั้นยอมรับอิสลามด้วย  นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เราสามารถทำให้แก่พ่อแม่ของเราที่มิใช่มุสลิม

Share:

ริษยา : โรคร้ายที่ทำลายความดี

ริษยา : โรคร้ายที่ทำลายความดี
หากศึกษากันให้ลึกๆแล้ว เราจะพบว่าเหตุการณ์และเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นกับมนุษย์บนโลกนี้ล้วนมีสาเหตุมาจากอารมณ์ภายในจิตใจของมนุษย์ทั้งสิ้น ที่ต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันทุกวันนี้ก็มิเพราะความอิจฉาริษยา ความโลภและความอยากได้ใคร่มีเหนือกว่าคนอื่นกระนั้นหรือ ?
ลำพังความอิจฉายังถือว่าเป็นเรื่องที่พอรับได้ เพราะอิจฉาแปลว่าความต้องการหรือความปรารถนาซึ่งมนุษย์ต่างก็มีด้วยกันทั้งนั้น และความต้องการนี้เองที่ผลักดันให้มนุษย์ดิ้นรนขวนขวายเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่ถ้าความอิจฉามีความริษยาติดตามมาด้วย ความเสียหายก็จะติดตามมาทันที    เพราะความริษยาหมายถึงความไม่ต้องการให้คนอื่นได้ดีหรือเมื่อเห็นคนอื่นได้ดีแล้วทนอยู่ไม่ได้และคิดที่จะทำลายคนที่ตัวเองริษยา
ซาตาน ต้นตำนานความริษยา
            ในคัมภีร์กุรอานมีคำบอกเล่าให้เราทราบว่าเมื่อพระเจ้าทรงสร้างอาดัมขึ้นมาพร้อมกับประทานความสามารถต่างๆให้แล้ว พระองค์ยังได้ทรงสอนความรู้ต่างๆให้แก่อาดัมอีกด้วย ทั้งนี้เพราะพระองค์ทรงต้องการให้อาดัมเป็นตัวแทนของพระองค์บนหน้าแผ่นดิน ด้วยความรู้ที่อาดัมได้รับนี้เอง พระเจ้าจึงได้ทรงบัญชาให้ทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมายอมสิโรราบต่ออาดัม ซึ่งหมายความว่านับแต่นี้ต่อไป ทุกสรรพสิ่งจะต้องยอมสยบอยู่ภายใต้ความรู้ที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์
คัมภีร์กุรอานเล่าต่อไปว่าทุกสรรพสิ่งยอมสิโรราบต่อมนุษย์หมด ยกเว้นซาตานมารร้ายที่ไม่ยอมทำตามเพราะมันทะนงตนว่ามันถูกสร้างมาจากไฟ แต่มนุษย์ถูกสร้างมาจากดิน เรื่องอะไรที่มันจะต้องไปยอมก้มกราบสิโรราบให้แก่มนุษย์ที่ถูกสร้างมาจากสิ่งที่ต่ำกว่ามัน ด้วยการปฏิเสธคำบัญชาของพระเจ้าผู้ทรงสร้างมันนี้เอง มันจึงได้ถูกขับออกจากสวรรค์ แต่ก่อนที่จะออกมา มันได้ทูลต่อพระเจ้าว่าในฐานะที่พระองค์เห็นอาดัมดีกว่ามัน มันจะขอหลอกลวงลูกหลานของอาดัมไปจนถึงวันอวสานของโลกและมันยังท้าให้พระองค์คอยดูว่าในบรรดาลูกหลานของอาดัมนั้น มีน้อยคนนักที่จะกตัญญูรู้คุณต่อพระองค์
ด้วยความริษยานี้เองที่ซาตานมารร้ายได้แอบกระซิบล่อลวงอาดัมให้ฝ่าฝืนคำสั่งของพระเจ้าที่ห้ามเข้าใกล้ต้นไม้ต้นหนึ่งในสวนสวรรค์ เมื่ออาดัมหลงเชื่อมารร้าย เขาจึงเข้าใกล้ต้นไม้นั้นและเผลอตัวไปกินผลไม้จากต้นไม้นั้นเข้า แผนร้ายของซาตานที่เกิดขึ้นจากความริษยาก็เป็นผลทันที กล่าวคือ อาดัมได้ถูกส่งมายังโลกนี้พร้อมกับฮาวา(อีฟ) แต่ก่อนจะถูกส่งมายังโลกนี้ พระเจ้าได้บอกอาดัมให้รู้ว่าซาตานมารร้ายจะเป็นศัตรูกับเขาและลูกหลานของเขาไปจนถึงวันอวสาน แต่ซาตานมารร้ายก็ไม่มีอำนาจบังคับมนุษย์ให้เชื่อมัน เพราะมนุษย์นอกจากจะได้รับสติปัญญาแล้ว มนุษย์ยังได้รับคำสอนทางศาสนาที่เฉลยว่าอะไรดีอะไรชั่วและมีสิทธิ์จะเลือกปฏิบัติด้วย ดังนั้น มนุษย์จะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจเลือกไป
นับแต่นั้นมา ซาตานมารร้ายก็ทำหน้าที่ของมันมาโดยตลอด
เพราะแรงริษยา พี่จึงฆ่าน้อง
เรื่องราวในคัมภีร์กุรอานและประวัติศาสตร์ศาสนายังกล่าวต่อไปอีกว่าเมื่ออาดัมและฮาวาถูกส่งมายังโลกใบนี้ ทั้งสองมีลูกหลายคน ในจำนวนนี้เป็นลูกแฝดชายหญิงสองคู่ที่ชื่อว่ากอบีลและฮาบีล ทั้งสองพี่น้องนี้ต่างมีน้องสาวเป็นคู่แฝด
เมื่อลูกโตขึ้น อาดัมต้องการให้กอบีลแต่งงานกับน้องสาวของฮาบีล และให้ฮาบีลแต่งงานกับน้องสาวของกอบีลเพื่อขยายเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่กอบีลต้องการจะแต่งงานกับน้องสาวของตัวเองเพราะน้องสาวของตัวเองสวยกว่าน้องสาวของฮาบีล อาดัมจึงต้องแก้ปัญหาโดยการให้กอบีลและฮาบีลนำสิ่งพลีมาถวายพระเจ้าและดูว่าพระเจ้าจะรับสิ่งถวายจากใคร ถ้าพระเจ้ารับของถวายจากกอบีล เขาก็ได้แต่งงานกับน้องสาวของตัวเอง
แต่ผลปรากฏว่าพระเจ้ารับสิ่งพลีที่ฮาบีลนำมาถวาย นั่นหมายความว่าฮาบีลจะได้แต่งงานกับน้องสาวของกอบีล ด้วยเหตุนี้เอง กอบีลจึงวางแผนฆ่าฮาบีลน้องของตัวเองเพราะแรงริษยาซึ่งถือว่าเป็นการกระทำฆาตกรรมครั้งแรกบนโลกมนุษย์
กรณีของยูซุฟ
ยะกู๊บหรือยาโกบผู้ได้ฉายาว่าอิสราเอลมีลูกชาย 12 คน ในจำนวนนี้มีคนหนึ่งชื่อยูซุฟซึ่งเป็นเด็กน่ารักและเชื่อฟังพ่อแม่ ยะกู๊บจึงรักลูกชายคนนี้มาก แต่ความรักที่ยะกู๊บมีต่อยูซุฟทำให้พี่ชายสิบคนเกิดความริษยาและหาทางวางแผนกำจัดน้องชายของตนด้วยการหลอกพ่อขอพายูซุฟออกไปเที่ยวนอกบ้าน เมื่อไกลจากสายตาพ่อ พวกพี่ๆก็จับยูซุฟโยนลงไปในบ่อน้ำนอกหมู่บ้าน หลังจากนั้นก็กลับไปโกหกพ่อว่ายูซุฟถูกหมาป่ากัดและลากตัวไปกิน
แต่ชะตากรรมมิใช่สิ่งที่มนุษย์เป็นผู้กำหนด พระเจ้าต่างหากที่เป็นผู้กำหนดชะตากรรมของมนุษย์ ยูซุฟที่พวกพี่ๆคิดว่าตายแล้วกลับรอดตายเพราะกองคาราวานมาพบยูซุฟในบ่อน้ำและได้นำตัวเขาไปขายให้แก่ผู้มีอำนาจในอียิปต์
เนื่องจากยูซุฟได้ถูกพระเจ้าเลือกให้เป็นนบีและมีความรู้ในเรื่องการทำนายฝัน ยูซุฟสามารถทำนายฝันให้แก่กษัตริย์ว่าอียิปต์จะเกิดความแห้งแล้งในอีกเจ็ดปีข้างหน้า เขาจึงได้รับความไว้วางใจจากกษัตริย์ให้เป็นผู้มีอำนาจควบคุมการผลิตพืชผลการเกษตรทั้งหมดของอียิปต์
แม้จะเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของอียิปต์ซึ่งเป็นอาณาจักรใหญ่ในเวลานั้น แต่นบียูซุฟก็ไม่เคยคิดอาฆาตแก้แค้นบรรดาพี่ๆของตัวเอง ในทางตรงข้าม เขากลับเชิญยะกู๊บพ่อของเขาและพี่ชายที่วางแผนกำจัดเขามาอาศัยอยู่ในอียิปต์อย่างมีความสุข
กรณีของนบีมุฮัมมัด
เมื่อนบีมุฮัมมัดเริ่มเผยแผ่อิสลามและประกาศว่าท่านเป็นศาสนทูตของพระเจ้า พวกลูกหลานอิสราเอลที่อาศัยอยู่ในอารเบียต่างไม่พอใจและริษยาอาฆาตท่าน เหตุผลก็เพราะพวกลูกหลานอิสราเอลทะนงว่าหากจะมีนบีที่พวกตนรอคอยเกิดขึ้นบนโลกนี้ตามคำบอกของโมเสสและพระเยซู นบีผู้นั้นก็จะต้องเกิดขึ้นในหมู่ลูกหลานอิสราเอลซึ่งเป็นหมู่ชนที่พระเจ้าทรงเลือก เพราะบรรพบุรุษของพวกตนหลายคนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนบีมาในอดีตและพวกตนเป็นชนชาติที่มีคัมภีร์ทางศาสนา ส่วนพวกอาหรับนั้นเป็นชนชาติที่กักขฬะป่าเถื่อนและไม่มีคัมภีร์ทางศาสนามาก่อน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีนบีเกิดขึ้นในหมู่ชาวอาหรับ
แม้นบีมุฮัมมัดจะแสดงหลักฐานต่างๆยืนยันความเป็นนบีของท่านแก่พวกลูกหลานอิสราเอล แต่แรงริษยาของคนพวกนี้ก็รุนแรงเกินกว่าที่จะทนยอมรับความจริงได้ ในที่สุด คนพวกนี้ก็วางแผนกำจัดนบีมุฮัมมัดด้วยวิธีการต่างๆ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ มิหนำซ้ำกลับต้องมีชีวิตอย่างอัปยศด้วยเมื่อนบีมุฮัมมัดได้เป็นประมุขแห่งรัฐอิสลาม
การป้องกันความริษยา
เนื่องจากความริษยาเป็นมลทินแห่งใจที่ทำให้เกิดทุกข์และผลเสียไม่เพียงต่อตัวผู้อิจฉาริษยาเอง แต่ยังมีผลไปถึงผู้อื่นด้วย ดังนั้น อิสลามจึงได้ให้แนวทางป้องกันไว้ดังนี้
– เราต้องยอมรับว่าพระเจ้าให้มนุษย์แต่ละคนไม่เหมือนกันและไม่เท่ากัน การเห็นคนอื่นได้ดีกว่าหรือได้มากกว่าแสดงว่าเราไม่พอใจต่อความประสงค์ของพระเจ้าซึ่งมีแต่จะทำให้ตัวเองเกิดทุกข์ยิ่งขึ้นเมื่อเห็นคนถูกอิจฉาริษยาได้ดีกว่าหรือมีมากกว่า
– นบีมุฮัมมัดได้สอนว่า “ไม่มีการอิจฉาใครนอกไปจากสองกรณี นั่นคือ คนที่พระเจ้าประทานวิชาความรู้ให้และเขาสอนความรู้นั้นแก่ผู้คน และคนที่พระเจ้าประทานความมั่งคั่งให้พร้อมกับอำนาจที่จะใช้จ่ายมันในหนทางแห่งสัจธรรม”
– เมื่อเห็นคนอื่นได้ดีก็จงแสดงความยินดีกับคนผู้นั้น
– นบีมุฮัมมัดได้สอนไว้อีกว่า “ความริษยานั้นกลืนกินความดีเหมือนกับไฟที่กินฟืน”
– เนื่องจากความริษยาเป็นความชั่วที่เกิดจากการยุยงของซาตานมารร้าย อิสลามจึงสอนให้มุสลิมอ่านคำวิงวอนในคัมภีร์กุรอานเพื่อขอความคุ้มครองจากพระเจ้าให้พ้นจากความชั่วร้ายของการอิจฉาริษยา
อิมามฆอซาลี นักปราชญ์ผู้มีชื่อเสียงทางด้านจิตวิญญาณได้กล่าวว่า : “จงระวังไว้ให้ดีว่าความอิจฉาริษยาเป็นโรคที่ร้ายแรงที่สุดโรคหนึ่งของหัวใจและไม่มียาขนานใดที่จะรักษาโรคนี้นอกไปจากความรู้และการปฏิบัติ  ความรู้ที่จะรักษาโรคอิจฉาริษยาก็คือการรู้ว่าโรคนี้เป็นพิษภัยร้ายแรงต่อชีวิตและต่อศาสนาของตน…….  การที่ความอิจฉาริษยาเป็นอันตรายสำหรับศาสนาของผู้ที่อิจฉาริษยาก็เพราะความอิจฉาริษยานี้เองที่ทำให้เขาเกลียดชังความดีงามที่พระเจ้าได้ทรงจัดแบ่งไว้ให้แก่บ่าวของพระองค์ นอกจากนี้แล้ว เขายังเกลียดชังความยุติธรรมของพระองค์ที่ได้ทรงสร้างไว้ในโลกด้วย ดังนั้น ผู้อิจฉาริษยาจึงต่อสู้และต่อต้านความประสงค์ของพระเจ้าซึ่งเป็นการขัดกับความศรัทธา  หลังจากนั้น ผู้อิจฉาริษยาก็จะมีส่วนร่วมกับมารร้ายและบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาในการที่จะทำลายความดีงามให้หมดสิ้นไป  ความอิจฉาริษยาในหัวใจนี้เองที่กลืนกินความดีและลบล้างความดีเหมือนกับกลางคืนเข้ามาแทนกลางวัน  คนที่เป็นทุกข์จากความอิจฉาริษยาในชีวิตจะเจ็บปวดและทุกข์ใจทุกครั้งที่เขาเห็นคนที่เขาอิจฉาริษยาได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า”

Share:

ทฤษฎีวิวัฒนาการกับหลักฐานเท็จ : หายนะทางความคิดของเด็กไทย

ทฤษฎีวิวัฒนาการกับหลักฐานเท็จ : หายนะทางความคิดของเด็กไทย

หลังจากที่ประเทศตะวันตกแยกตัวออกจากศาสนจักรและพัฒนาวิชาการด้านวิทยาศาสตร์จนเจริญก้าวหน้าแล้ว ประเทศตะวันตกได้พยายามใช้วิทยาศาสตร์ทำลายความเชื่อทางศาสนาด้วย หนึ่งในความเชื่อทางศาสนาที่นักวิทยาศาสตร์วัตถุนิยมสมัยใหม่เจตนาจะทำลายก็คือความเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์ซึ่งเป็นความเชื่อพื้นฐานของศาสนา สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่พยายามนำเสนอต่อโลกก็คือทฤษฎีวิวัฒนาการที่มีรากฐานมาจากชาร์ลส ดาร์วินซึ่งถูกนำมาต่อยอดแบบรวบรัดว่ามนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิง
เป็นเวลาประมาณ 200 ปีแล้วนับตั้งแต่ชาร์ลส ดาร์วิน นำเสนอทฤษฎีนี้ แต่จนปัจจุบันก็ยังไม่มีหลักฐานจากซากฟอสซิลที่ชัดเจนเป็นตัวเป็นตนมาสนับสนุนเรื่อง“คนครึ่งลิง”ที่สื่อและพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการพยายามจะยัดเยียดให้คนเชื่อมาอย่างไม่หยุดหย่อน ถึงแม้พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการจะวางท่ายืนถือแปรงสร้างรูปภาพสิ่งมีชีวิตตามจินตนาการของตัวเองขึ้นมาก็ตาม แต่เนื่องจากไม่มีซากฟอสซิลใดที่แก้ปัญหาสำคัญให้คนพวกนี้ได้  ดังนั้น วิธีการหนึ่งที่คนพวกนี้นำมาใช้ในการที่จะเอาชนะปัญหานี้ก็คือการสร้างฟอสซิลปลอมขึ้นมา  กรณีมนุษย์พิลท์ดาวน์ ซึ่งเป็นเรื่องอื้อฉาวที่สุดในประวัติศาสตร์ของวิทยาศาสตร์เป็นตัวอย่างหนึ่งของวิธีการนี้

มนุษย์พิลท์ดาวน์ : กระดูกกรามลิงอุรังอุตังและกะโหลกมนุษย์
ชาร์ลส ดอว์สัน นายแพทย์ผู้มีชื่อเสียงและนักขุดหาซากฟอสซิลสมัครเล่นได้ออกมากล่าวว่าเขาได้พบกระดูกกรามและเศษชิ้นส่วนหัวกะโหลกมนุษย์ในเมืองพิลท์ดาวน์ประเทศอังกฤษใน ค.ศ.1912  ถึงแม้ว่ากระดูกกรามจะเหมือนของลิงมากกว่า แต่ฟันและกะโหลกก็เหมือนกับของมนุษย์  ตัวอย่างเหล่านี้ได้ถูกปิดป้ายบอกว่าเป็น “มนุษย์พิลท์ดาวน์”  กล่าวกันว่ากระดูกเหล่านี้มีอายุ 5 แสนปีและได้ถูกนำมาแสดงเป็นหลักฐานที่ชัดเจนถึงการวิวัฒนาการของมนุษย์ในหลายพิพิธภัณฑ์  เป็นเวลากว่า 40 ปีที่เรื่องราวของ “มนุษย์พิลท์ดาวน์” ได้ถูกนำมาเขียนบทความทางวิทยาศาสตร์หลายชิ้น ตลอดจนได้มีการอธิบายความหมาย การวาดภาพ และการนำเอาฟอสซิลไปแสดงเป็นหลักฐานสำคัญเพื่อยืนยันถึงวิวัฒนาการของมนุษย์  มีวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกที่เขียนถึงเรื่องนี้ไม่น้อยกว่า 500 เรื่อง  เฮนรี แฟร์ฟิลด์ ออสบอร์น (Henry Fairfield Osborn) นักศึกษาซากยุคหินผู้มีชื่อเสียงได้กล่าวไว้ในตอนที่เขาไปเยี่ยมพิพิธภัณฑ์อังกฤษใน ค.ศ.1935 ว่า “…เราจะต้องจดจำไว้เสมอว่าธรรมชาตินั้นเต็มไปด้วยสิ่งที่แปลกประหลาดมากมาย และนี่เป็นความน่าทึ่งอย่างหนึ่งที่มีการพบเกี่ยวกับมนุษย์ในยุคก่อนหน้านี้…”
ใน ค.ศ.1949 นายเคนเนธ โอคลีย์ (Kenneth Oakley) จากแผนกโบราณวัตถุยุคหินของพิพิธภัณฑ์อังกฤษได้พยายามใช้วิธีการ“ทดสอบทางฟลูโอไรน์”ซึ่งเป็นการทดสอบใหม่เพื่อกำหนดอายุของฟอสซิลเก่าแก่บางอย่างกับมนุษย์พิลท์ดาวน์  ผลของการทดสอบเป็นที่น่าตื่นเต้น  เพราะปรากฏว่ากระดูกกรามของมนุษย์พิลท์ดาวน์ไม่มีฟลูออรีนใดๆอยู่เลยซึ่งแสดงให้เห็นว่ามันได้ถูกฝังมาไม่กี่ปีนี้เอง หัวกะโหลกซึ่งมีฟลูออรีนอยู่เพียงเล็กน้อยนั้นก็แสดงว่ามันมีอายุไม่กี่พันปี
การศึกษาถึงขั้นตอนของเวลาด้วยวิธีการทางด้านฟลูออรีนได้เปิดเผยให้เห็นว่ากะโหลกมีอายุเพียงไม่กี่พันปีเท่านั้น  นอกจากนี้แล้วยังเป็นที่ชัดเจนว่าฟันในกระดูกกรามที่เป็นของลิงอุรังอุตังนั้นได้ถูกนำมาใส่ไว้และเครื่องมือโบราณที่ถูกค้นพบได้พร้อมกับฟอสซิลก็เป็นการลอกเลียนแบบที่ถูกทำขึ้นมา  หลังจากทำการการวิเคราะห์รายละเอียดแล้ว เรื่องที่ถูกกุขึ้นมานี้ก็ได้ถูกนำมาเปิดเผยต่อสาธารณชนใน ค.ศ.1953
กะโหลกดังกล่าวเป็นของมนุษย์ที่มีอายุ 500 ปี  และกระดูกขากรรไกรก็เป็นของลิงใหญ่ที่ตายเมื่อไม่นานมานี้  ส่วนฟันก็ได้ถูกนำมาจัดเรียงไว้ในกรามหลังจากนั้นเป็นการเฉพาะและข้อต่อต่างๆก็ได้ถูกนำมาประกอบเข้าด้วยกันเพื่อให้เหมือนกับของมนุษย์  หลังจากนั้น ชิ้นส่วนเหล่านี้ทั้งหมดก็ได้ถูกทาด้วยโปแตสเซียมไดโครเมตเพื่อให้มันดูเก่าย้อนยุค  สิ่งที่ได้ถูกทาไว้เหล่านี้ได้เริ่มหายไปเมื่อถูกจุ่มลงไปในกรด  นายเลอโกรชาร์ลซึ่งเป็นหนึ่งในคณะที่เปิดโปงการสร้างหลักฐานเท็จนี้ไม่อาจปิดบังความประหลาดใจต่อสถานการณ์นี้ได้กล่าวว่า“หลักฐานร่องรอยที่สร้างขึ้นนี้เห็นได้ชัดจนต้องตั้งคำถามว่ามันลอดจากการสังเกตไปได้อย่างไร ?”  หลังจากนั้น มนุษย์พิลท์ดาวน์ก็ถูกย้ายออกไปจากพิพิธภัณฑ์ที่มันได้ถูกนำมาแสดงไว้เป็นเวลากว่า 40 ปี

มนุษย์เนบราสกา : ฟันหมู
ใน ค.ศ.1922 เฮนรี แฟร์ฟิลด์ ออสบอร์น ผู้จัดการพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกันได้ประกาศว่าเขาได้พบฟอสซิลฟันกรามที่ใช้ขบเคี้ยวซี่หนึ่งในเนบราสกาตะวันตก  กล่าวกันว่าฟันนี้มีลักษณะเหมือนฟันของมนุษย์และลิงใหญ่  ดังนั้น จึงได้เริ่มมีข้อถกเถียงทางวิทยาศาสตร์เกิดขึ้นซึ่งทำให้บางคนอธิบายว่าฟันนี้เป็นของสัตว์ลำตัวตั้งตรงและบางคนก็อ้างว่ามันใกล้เคียงกับของมนุษย์  ซากฟอสซิลนี้ได้ถูกเรียกว่า“มนุษย์เนบราสกา” และยังมีการตั้ง “ชื่อทางวิทยาศาสตร์” เสียยืดยาวด้วย
มีหลักฐานหลายอย่างที่สนับสนุนนายออสบอร์น และโดยอาศัยฟันเพียงซี่เดียวนี้เองที่ได้มีการสร้างหัวมนุษย์เนบราสกาและวาดภาพร่างกายขึ้นมา  ยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์เนบราสกายังได้ถูกวาดภาพให้มีภรรยาและลูกๆอยู่กันเป็นครอบครัวในสภาพตามธรรมชาติอีกด้วย
ภาพวาดเหล่านี้ได้ถูกสร้างขึ้นมาจากฟันเพียงซี่เดียว วงการนักทฤษฎีวิวัฒนาการได้ให้ความเชื่อถือใน “มนุษย์ผี”นี้จนถึงขนาดที่ว่าเมื่อนายวิลเลียม ไบรอัน นักศึกษาค้นคว้าคนหนึ่งได้คัดค้านการตัดสินโดยอาศัยแค่ฟันเพียงซี่หนึ่ง เขาก็ต้องถูกวิจารณ์อย่างรุนแรง
ใน ค.ศ.1927 ได้มีการค้นพบว่าฟันดังกล่าวมิได้เป็นของมนุษย์และก็มิได้เป็นของลิงใหญ่ด้วย แต่มันเป็นฟันของหมูป่าอเมริกันชนิดหนึ่งซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้ว   หลังจากนั้น เรื่องราวของมนุษย์เนบราสกาและครอบครัวก็ต้องถูกลบออกไปจากงานเขียนเกี่ยวกับทฤษฎีวิวัฒนาการ

โอตา เบงกา : ชาวอาฟริกาในถ้ำ
หลังจากที่ดาร์วินได้ออกมาอ้างไว้ในหนังสือเรื่อง The Descent of Man (ลูกหลานของมนุษย์) ว่ามนุษย์ได้วิวัฒนาการมาจากสิ่งมีชีวิตที่คล้ายลิงใหญ่ เขาก็เริ่มค้นหาซากฟอสซิลมาสนับสนุนข้ออ้างนี้  อย่างไรก็ตาม นักทฤษฎีวิวัฒนาการบางคนก็เชื่อว่า “สิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งลิง” ไม่เพียงแต่จะพบได้ในฟอสซิลเท่านั้น แต่ยังมีชีวิตอยู่ในบางส่วนของโลกอีกด้วย  ในตอนต้นศตวรรษที่ 20 การค้นหา “ตัวเชื่อมต่อที่ยังมีชีวิต” ได้นำไปสู่เหตุการณ์น่าเศร้าเรื่องหนึ่ง นั่นคือเรื่องของชาวปิ๊กมี่ที่มีชื่อว่าโอตา เบงกา
โอตา เบงกาถูกจับตัวไว้ใน ค.ศ.1904 โดยนักศึกษาค้นคว้าทฤษฎีวิวัฒนาการในคองโก  โดยภาษาของเขาแล้ว ชื่อของเขาหมายถึง “เพื่อน”  เขามีภรรยาหนึ่งคนและลูกสองคน เขาถูกจับล่ามโซ่ใส่กรงไว้เหมือนกับสัตว์และถูกนำตัวมายังสหรัฐ ที่นั่นเขาได้ถูกนักวิทยาศาสตร์นำมาแสดงต่อหน้าสาธารณะในงานเซนต์หลุยส์เวิร์ลแฟร์พร้อมกับลิงเผ่าพันธุ์อื่นและได้ถูกแนะนำให้คนที่มาเข้าชมงานว่าเป็น “ตัวเชื่อมต่อที่ใกล้ชิดที่สุดกับมนุษย์”  หลังจากนั้นอีกสองปี พวกเขาก็นำโอตา เบงกา ไปยังสวนสัตว์บรองซ์ในนิวยอร์คซึ่งที่นั่นเขาได้ถูกนำไปแสดงภายใต้ชื่อว่า “บรรพบุรุษโบราณของมนุษย์” พร้อมกับลิงชิมแปนซีสองสามตัวและลิงกอริลล่าที่มีชื่อว่าดินาห์หนึ่งตัวและลิงอุรังอุตังที่ถูกเรียกว่าโดฮังอีกหนึ่งตัว  ดร.วิลเลียม ที. ฮอร์นาเดย์ ผู้อำนวยการสวนสัตว์ซึ่งเป็นนักทฤษฎีวิวัฒนาการได้กล่าวปาฐกถายืดยาวว่าเขาภูมิใจที่ได้มี“รูปแบบที่เปลี่ยนสภาพ”เช่นนี้ไว้ในสวนสัตว์ของเขาและปฏิบัติกับโอตา เบงกาเหมือนกับเขาเป็นสัตว์ธรรมดาตัวหนึ่ง  แต่เนื่องจากโอตา เบงกาไม่สามารถที่จะทนต่อการปฏิบัติที่เขาได้รับ ในที่สุด เขาจึงฆ่าตัวตาย
มนุษย์พิลท์ดาวน์, มนุษย์เนบราสกา, โอตา เบงกา…. ความอื้อฉาวเหล่านี้แสดงให้เห็นว่านักทฤษฎีวิวัฒนาการไม่เคยลังเลที่จะใช้วิธีการที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ใดๆก็ได้เพื่อพิสูจน์ทฤษฎีของพวกตน
ทฤษฎีวิวัฒนาการที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์นี้เป็นทฤษฎีอันตรายและถูกสอนอยู่ในโรงเรียนสามัญมาเป็นเวลานานแล้ว  หากเด็กไทยคิดว่ามนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิง  พวกเขาก็จะคิดว่ามนุษย์ก็ไม่แตกต่างอะไรไปจากสัตว์ที่เกิดมาเพียงเพื่อกิน นอน ถ่ายสืบพันธุ์และตายเยี่ยงสัตว์โดยไม่ต้องรับผิดชอบการกระทำของตนหลังความตาย  ความคิดเช่นนี้เองที่บ่อเพาะให้พวกเขาทำชั่วเมื่อพวกเขาโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่  แต่เมื่อมนุษย์ทำชั่ว พวกเขาก็สามารถทำความชั่วได้มากกว่าสัตว์ เพราะมนุษย์ที่เจริญแล้วมีความรู้ความสามารถและเทคโนโลยีทำความชั่วได้มากกว่าสัตว์

โดย บรรจง บินกาซัน
Share:

บทความที่ได้รับความนิยม

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน

บทความทั้งหมด

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

คลังบทความของบล็อก

Recent Posts

ผู้ติดตาม