ก๊ะอฺบ๊ะฮฺ : ศูนย์กลางของประชาชาติอิสลาม
การทำฮัจญ์ที่นครมักก๊ะฮฺเป็นศาสนกิจสำคัญหนึ่งใน 5 ประการที่อิสลามกำหนดให้มุสลิมที่มีความสามารถทางด้านการเงินและสุขภาพต้องปฏิบัติอย่างน้อยที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต เมื่อเดินทางไปถึงนครมักก๊ะฮฺ สถานที่แห่งแรกที่ผู้ไปทำฮัจญ์ทุกคนจะต้องไปประกอบพิธีก่อนก็คือก๊ะอฺบ๊ะฮฺ
ก๊ะอฺบ๊ะฮฺคืออาคารรูปทรงสี่เหลี่ยมในใจกลางนครมักก๊ะฮฺประเทศซาอุดิอารเบีย อาคารแห่งนี้เป็นสถานที่ที่มุสลิมทั่วโลกจะหันไปในเวลานมาซนับตั้งแต่สมัยของท่านนบีมุฮัมมัดตั้งแต่เมื่อประมาณ 1,400 ปีก่อน
ขนาดของก๊ะอฺบ๊ะฮฺ
ก๊ะอฺบ๊ะฮฺในปัจจุบันมีขนาดสูงประมาณ 12 เมตร ความกว้างและความยาวประมาณ 10 เมตร เพดานภายในและหลังคาทำด้วยไม้สองระดับ ผนังกำแพงทำจากหินธรรมชาติโดยที่ภายในไม่มีการขัด แต่ภายนอกจะมีการขัดให้เป็นเงา
ตามคำบอกเล่าที่สืบทอดต่อกันมา อาคารเล็กๆหลังนี้ถูกสร้างขึ้นมาครั้งแรกโดยนบีอาดัม แต่จากหลักฐานในคัมภีร์กุรอาน ก๊ะอฺบ๊ะฮฺถูกสร้างขึ้นโดยนบีอิบรอฮีมกับนบีอิสมาอีล ลูกชายของท่าน และหลังจากนั้นก็มีการบูรณะอีกครั้งหนึ่งในสมัยของนบีมุฮัมมัด ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่าก๊ะอฺบ๊ะฮฺเป็นศาสนสถานที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
ชื่อของก๊ะอฺบ๊ะฮฺ
ถึงแม้ก๊ะอฺบ๊ะฮฺในภาษาอาหรับจะหมายถึงสถานที่อันเป็นที่เคารพและมีเกียรติ แต่คำว่าก๊ะอฺบ๊ะฮฺมาจากคำที่มีความหมายว่าปริมาตรทรงสี่เหลี่ยม นอกจากนี้แล้ว ก๊ะอฺบ๊ะฮฺยังมีชื่ออื่นๆอีกเช่น
- บัยตุลอะตี๊ก ซึ่งมีความหมายอย่างหนึ่งว่าบ้านเก่าแก่และโบราณ ความหมายที่สองหมายถึงเป็นอิสระและการปลดปล่อย
- บัยตุลฮะรอม หรือ บ้านอันเป็นที่ต้องห้าม
ประวัติของก๊ะอฺบ๊ะฮฺ
ก๊ะอฺบ๊ะฮฺได้รับความเสียหายทั้งจากภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างเช่นน้ำท่วมและโดยการทำลายของมนุษย์ ดังนั้น จึงได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์หลายครั้งด้วยกัน
จากการศึกษาของนักประวัติศาสตร์และโบราณคดีพบว่ารากฐานของก๊ะอฺบ๊ะฮฺที่นบีอิบรอฮีมวางไว้ครั้งแรกนั้นเป็นดังนี้ :-
กำแพงด้านตะวันออกมีขนาด 48 ฟุต 6 นิ้ว
กำแพงด้านที่เรียกว่าฮะตีมมีขนาด 33 ฟุต
ด้านระหว่างหินดำและมุมยะมานีมีขนาด 30 ฟุต
ด้านตะวันตกมีขนาด 46.5 ฟุต
หลังจากนั้นก็มีการก่อสร้างซ่อมแซมอีกหลายครั้งก่อนจะมาถึงสมัยของนบีมุฮัมมัด
จากหลักฐานในคัมภีร์กุรอาน เดิมที นบีอิบรอฮีมได้สร้างอาคารหลังนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นที่นมาซสักการะอัลลอฮฺพระเจ้าองค์เดียว แต่หลังจากสมัยของท่าน ชาวอาหรับเผ่าต่างๆก็ได้หลงผิดนำเอารูปปั้นบูชาและเทวรูปของตนมาตั้งไว้ทั้งข้างในและรายรอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺเป็นจำนวนถึง 360 องค์ด้วยกัน และในทุกปี ชาวอาหรับทั่วอารเบียก็จะเดินทางมาแสวงบุญ(ทำฮัจญ์)ยังสถานที่แห่งนี้ ด้วยเหตุนี้ ก๊ะฮฺบ๊ะฮฺจึงทำให้นครมักก๊ะฮฺกลายเป็นศูนย์กลางทางด้านศาสนาและเศรษฐกิจขึ้นมากลางทะเลทรายที่แห้งแล้ง
ในสมัยก่อนหน้าอิสลาม ชาวอาหรับแต่ละเผ่าจะทำฮัจญ์ด้วยการเวียนรอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺและสักการบูชาเทวรูปของตนแทนอัลลอฮฺ บางเผ่าเปลือยกาย บางเผ่าก็จะปรบมือหรือผิวปากในขณะเวียนรอบ หลังจากนั้นก็จะเชือดสัตว์และเอาเลือดสาดไปบนกำแพงก๊ะอฺบ๊ะฮฺ ส่วนเนื้อของสัตว์ที่ถูกเชือดก็จะแจกจ่ายไปเป็นทานแก่คนยากจน
แผนการทำลายก๊ะอฺบ๊ะฮฺ
ประมาณปี ค.ศ.570 ซึ่งเป็นปีเกิดของท่านนบีมุฮัมมัด อับรอฮะเจ้าเมืองเยเมนเล็งเห็นความสำคัญของก๊ะอฺบ๊ะฮฺที่สร้างความมั่งคั่งให้มักก๊ะฮฺ เขาจึงสร้างวิหารศาสนาขนาดใหญ่และสวยงามกว่าขึ้นมาแข่งกับก๊ะอฺบ๊ะฮฺ หลังจากนั้น เขาก็ส่งคนออกไปเรียกร้องให้ชาวอาหรับเดินทางมาแสวงบุญที่นั่น แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้น เขาจึงยกทัพใหญ่มุ่งหน้ามายังมักก๊ะฮฺเพื่อทำลายก๊ะอฺบ๊ะฮฺ คัมภีร์กุรอานกล่าวไว้ว่าก่อนที่เขาจะเข้าถึงอาคารก๊ะอฺบ๊ะฮฺ ปรากฏว่าได้มีนกฝูงใหญ่คาบหินไฟนรกมาโปรยใส่กองทัพของเขา ทหารคนใดที่ถูกหินเหล่านี้ เนื้อหนังจะมีสภาพเหมือนใบไม้ที่ถูกหนอนกัดกินและล้มตายลง ดังนั้น แผนการทำลายก๊ะอฺบ๊ะฮฺของเจ้าเมืองเยเมนจึงประสบความล้มเหลวและต้องถอยทัพกลับไป เนื่องจากในการยกทัพมาครั้งนั้น เจ้าเมืองเยเมนได้นำช้างร่วมทัพมาด้วย ชาวอาหรับจึงเรียกปีนั้นว่าปีช้าง
การบูรณปฏิสังขรณ์ก๊ะอฺบ๊ะฮฺโดยพวกกุเรช
ก่อนที่ท่านนบีมุฮัมมัดจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสนทูตเพื่อนำคำสอนของพระเจ้ามาเผยแผ่ยังมนุษย์ชาติ ก๊ะอบ๊ะฮฺได้รับความเสียหายและกำแพงแตก ชาวอาหรับเผ่ากุเรชจึงได้ริเริ่มการปฏิสังขรณ์ก๊ะอฺบ๊ะฮฺโดยแบ่งความรับผิดชอบให้ตระกูลสำคัญๆในเผ่าของตนและนบีมุฮัมมัดก็ได้มีส่วนร่วมในการปฏิสังขรณ์ครั้งนั้นด้วย
เมื่อกำแพงถูกสร้างเสร็จแล้วก็ถึงเวลาที่จะติดตั้งหินดำบนกำแพงฝั่งตะวันออกของก๊ะอฺบ๊ะฮฺ แต่พอมาถึงตรงนี้ก็มีการโต้แย้งกันว่าใครจะเป็นผู้มีเกียรตินำหินดำไปติดตั้งไว้ยังสถานที่ของมัน การโต้เถียงได้กลายเป็นความขัดแย้งและทวีความรุนแรงจนเกือบจะเป็นการต่อสู้กัน ในที่สุด อบูอุมัยยะฮฺ ผู้อาวุโสที่สุดของมักก๊ะฮฺก็เสนอว่าเพื่อเป็นการยุติความขัดแย้งดังกล่าว ควรที่จะให้ผู้ที่เข้ามายังบริเวณศาสนสถานแห่งนี้เป็นคนแรกในเช้าวันรุ่งขึ้นเป็นผู้ตัดสิน
วันรุ่งขึ้น ผู้ที่เข้ามายังเขตที่ตั้งของก๊ะอฺบ๊ะฮฺเป็นคนแรกก็คือผู้ที่ชาวมักก๊ะฮฺตั้งฉายาให้ว่า “อัล-อะมีน” (ผู้ซื่อสัตย์ไว้วางใจได้) นั่นคือท่านนบีมุฮัมมัด ดังนั้น ทุกคนจึงขอให้ท่านตัดสินเรื่องที่กำลังมีความขัดแย้งกันอยู่ ท่านนบีได้เสนอทางแก้ปัญหาที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันหมด นั่นคือ ท่านได้เอาหินดำวางลงบนเสื้อคลุมของท่านและเชิญผู้อาวุโสในเผ่ากุเรชจากทุกตระกูลมาจับชายผ้าและยกหินขึ้นพร้อมๆกัน หลังจากนั้น ท่านก็หยิบหินดำขึ้นแล้วนำไปติดตั้งไว้ยังที่เดิม เรื่องจึงจบลงด้วยดีโดยที่ทุกฝ่ายต่างมีส่วนร่วมด้วยกันอย่างมีเกียรติ
หินดำคือหินเม็ดเล็กๆที่ถูกบรรจุไว้ในกรอบและติดตั้งไว้ตรงมุมหนึ่งของก๊ะอฺบ๊ะฮฺเพื่อแสดงถึงจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดการเวียนรอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺ 7 รอบ ไม่ได้เป็นหินศักดิ์สิทธิ์ที่คนทั่วไปเข้าใจว่ามุสลิมกราบไหว้บูชาหรือสักการะ
เนื่องจากเผ่ากุเรชมีทุนไม่พอ การบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งนั้นจึงไม่สามารถครอบคลุมรากฐานทั้งหมดของก๊ะอฺบ๊ะฮฺตามที่นบีอิบรอฮีมได้สร้างไว้ นี่เป็นครั้งแรกที่ทำให้ก๊ะอฺบ๊ะฮฺกลายเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสมาจนถึงปัจจุบันทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ก๊ะอฺบ๊ะฮฺมีรูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ส่วนของก๊ะอฺบ๊ะฮฺที่ถูกทิ้งไปนั้นเรียกว่า “อัล-ฮะตีม” หรือ “ อัล-ฮิจญร์” (ฮะตีมเป็นพื้นที่ติดกับก๊ะอฺบ๊ะฮฺซึ่งถูกล้อมโดยกำแพงครึ่งวงกลม)
หลังสมัยของท่านนบีมุฮัมมัด ก๊ะอฺบ๊ะฮฺได้รับความเสียหายจากสาเหตุต่างๆ จึงได้มีการซ่อมแซมและก่อสร้างเพิ่มเติมอีกหลายครั้งโดยผู้ปกครองรัฐอิสลามในยุคต่างๆจนกระทั่งมีลักษณะดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน
มีอะไรอยู่ในก๊ะอบ๊ะฮ ?
ดร. มุซัมมิล ซิดดีกี ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่ได้มีโอกาสเข้าไปข้างในก๊ะอฺบ๊ะฮฺในเดือนตุลาคม ค.ศ.1998 ได้บอกว่าข้างในนั้น :-
- มีเสาสองต้นอยู่ข้างใน
- มีโต๊ะอยู่หนึ่งตัวด้านข้างสำหรับวางสิ่งของเช่นเครื่องหอม
- มีตะเกียงแบบโคมแขวนลงมาจากเพดาน
- บริเวณข้างในสามารถจุคนได้ประมาณ 50 คน
- ไม่มีไฟฟ้าข้างใน
- กำแพงและพื้นเป็นหินอ่อน
- ไม่มีหน้าต่างข้างใน
- มีประตูอยู่บานเดียว
บทความโดย