ริษยา : โรคร้ายที่ทำลายความดี

ริษยา : โรคร้ายที่ทำลายความดี
หากศึกษากันให้ลึกๆแล้ว เราจะพบว่าเหตุการณ์และเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นกับมนุษย์บนโลกนี้ล้วนมีสาเหตุมาจากอารมณ์ภายในจิตใจของมนุษย์ทั้งสิ้น ที่ต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันทุกวันนี้ก็มิเพราะความอิจฉาริษยา ความโลภและความอยากได้ใคร่มีเหนือกว่าคนอื่นกระนั้นหรือ ?
ลำพังความอิจฉายังถือว่าเป็นเรื่องที่พอรับได้ เพราะอิจฉาแปลว่าความต้องการหรือความปรารถนาซึ่งมนุษย์ต่างก็มีด้วยกันทั้งนั้น และความต้องการนี้เองที่ผลักดันให้มนุษย์ดิ้นรนขวนขวายเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่ถ้าความอิจฉามีความริษยาติดตามมาด้วย ความเสียหายก็จะติดตามมาทันที    เพราะความริษยาหมายถึงความไม่ต้องการให้คนอื่นได้ดีหรือเมื่อเห็นคนอื่นได้ดีแล้วทนอยู่ไม่ได้และคิดที่จะทำลายคนที่ตัวเองริษยา
ซาตาน ต้นตำนานความริษยา
            ในคัมภีร์กุรอานมีคำบอกเล่าให้เราทราบว่าเมื่อพระเจ้าทรงสร้างอาดัมขึ้นมาพร้อมกับประทานความสามารถต่างๆให้แล้ว พระองค์ยังได้ทรงสอนความรู้ต่างๆให้แก่อาดัมอีกด้วย ทั้งนี้เพราะพระองค์ทรงต้องการให้อาดัมเป็นตัวแทนของพระองค์บนหน้าแผ่นดิน ด้วยความรู้ที่อาดัมได้รับนี้เอง พระเจ้าจึงได้ทรงบัญชาให้ทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมายอมสิโรราบต่ออาดัม ซึ่งหมายความว่านับแต่นี้ต่อไป ทุกสรรพสิ่งจะต้องยอมสยบอยู่ภายใต้ความรู้ที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์
คัมภีร์กุรอานเล่าต่อไปว่าทุกสรรพสิ่งยอมสิโรราบต่อมนุษย์หมด ยกเว้นซาตานมารร้ายที่ไม่ยอมทำตามเพราะมันทะนงตนว่ามันถูกสร้างมาจากไฟ แต่มนุษย์ถูกสร้างมาจากดิน เรื่องอะไรที่มันจะต้องไปยอมก้มกราบสิโรราบให้แก่มนุษย์ที่ถูกสร้างมาจากสิ่งที่ต่ำกว่ามัน ด้วยการปฏิเสธคำบัญชาของพระเจ้าผู้ทรงสร้างมันนี้เอง มันจึงได้ถูกขับออกจากสวรรค์ แต่ก่อนที่จะออกมา มันได้ทูลต่อพระเจ้าว่าในฐานะที่พระองค์เห็นอาดัมดีกว่ามัน มันจะขอหลอกลวงลูกหลานของอาดัมไปจนถึงวันอวสานของโลกและมันยังท้าให้พระองค์คอยดูว่าในบรรดาลูกหลานของอาดัมนั้น มีน้อยคนนักที่จะกตัญญูรู้คุณต่อพระองค์
ด้วยความริษยานี้เองที่ซาตานมารร้ายได้แอบกระซิบล่อลวงอาดัมให้ฝ่าฝืนคำสั่งของพระเจ้าที่ห้ามเข้าใกล้ต้นไม้ต้นหนึ่งในสวนสวรรค์ เมื่ออาดัมหลงเชื่อมารร้าย เขาจึงเข้าใกล้ต้นไม้นั้นและเผลอตัวไปกินผลไม้จากต้นไม้นั้นเข้า แผนร้ายของซาตานที่เกิดขึ้นจากความริษยาก็เป็นผลทันที กล่าวคือ อาดัมได้ถูกส่งมายังโลกนี้พร้อมกับฮาวา(อีฟ) แต่ก่อนจะถูกส่งมายังโลกนี้ พระเจ้าได้บอกอาดัมให้รู้ว่าซาตานมารร้ายจะเป็นศัตรูกับเขาและลูกหลานของเขาไปจนถึงวันอวสาน แต่ซาตานมารร้ายก็ไม่มีอำนาจบังคับมนุษย์ให้เชื่อมัน เพราะมนุษย์นอกจากจะได้รับสติปัญญาแล้ว มนุษย์ยังได้รับคำสอนทางศาสนาที่เฉลยว่าอะไรดีอะไรชั่วและมีสิทธิ์จะเลือกปฏิบัติด้วย ดังนั้น มนุษย์จะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจเลือกไป
นับแต่นั้นมา ซาตานมารร้ายก็ทำหน้าที่ของมันมาโดยตลอด
เพราะแรงริษยา พี่จึงฆ่าน้อง
เรื่องราวในคัมภีร์กุรอานและประวัติศาสตร์ศาสนายังกล่าวต่อไปอีกว่าเมื่ออาดัมและฮาวาถูกส่งมายังโลกใบนี้ ทั้งสองมีลูกหลายคน ในจำนวนนี้เป็นลูกแฝดชายหญิงสองคู่ที่ชื่อว่ากอบีลและฮาบีล ทั้งสองพี่น้องนี้ต่างมีน้องสาวเป็นคู่แฝด
เมื่อลูกโตขึ้น อาดัมต้องการให้กอบีลแต่งงานกับน้องสาวของฮาบีล และให้ฮาบีลแต่งงานกับน้องสาวของกอบีลเพื่อขยายเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่กอบีลต้องการจะแต่งงานกับน้องสาวของตัวเองเพราะน้องสาวของตัวเองสวยกว่าน้องสาวของฮาบีล อาดัมจึงต้องแก้ปัญหาโดยการให้กอบีลและฮาบีลนำสิ่งพลีมาถวายพระเจ้าและดูว่าพระเจ้าจะรับสิ่งถวายจากใคร ถ้าพระเจ้ารับของถวายจากกอบีล เขาก็ได้แต่งงานกับน้องสาวของตัวเอง
แต่ผลปรากฏว่าพระเจ้ารับสิ่งพลีที่ฮาบีลนำมาถวาย นั่นหมายความว่าฮาบีลจะได้แต่งงานกับน้องสาวของกอบีล ด้วยเหตุนี้เอง กอบีลจึงวางแผนฆ่าฮาบีลน้องของตัวเองเพราะแรงริษยาซึ่งถือว่าเป็นการกระทำฆาตกรรมครั้งแรกบนโลกมนุษย์
กรณีของยูซุฟ
ยะกู๊บหรือยาโกบผู้ได้ฉายาว่าอิสราเอลมีลูกชาย 12 คน ในจำนวนนี้มีคนหนึ่งชื่อยูซุฟซึ่งเป็นเด็กน่ารักและเชื่อฟังพ่อแม่ ยะกู๊บจึงรักลูกชายคนนี้มาก แต่ความรักที่ยะกู๊บมีต่อยูซุฟทำให้พี่ชายสิบคนเกิดความริษยาและหาทางวางแผนกำจัดน้องชายของตนด้วยการหลอกพ่อขอพายูซุฟออกไปเที่ยวนอกบ้าน เมื่อไกลจากสายตาพ่อ พวกพี่ๆก็จับยูซุฟโยนลงไปในบ่อน้ำนอกหมู่บ้าน หลังจากนั้นก็กลับไปโกหกพ่อว่ายูซุฟถูกหมาป่ากัดและลากตัวไปกิน
แต่ชะตากรรมมิใช่สิ่งที่มนุษย์เป็นผู้กำหนด พระเจ้าต่างหากที่เป็นผู้กำหนดชะตากรรมของมนุษย์ ยูซุฟที่พวกพี่ๆคิดว่าตายแล้วกลับรอดตายเพราะกองคาราวานมาพบยูซุฟในบ่อน้ำและได้นำตัวเขาไปขายให้แก่ผู้มีอำนาจในอียิปต์
เนื่องจากยูซุฟได้ถูกพระเจ้าเลือกให้เป็นนบีและมีความรู้ในเรื่องการทำนายฝัน ยูซุฟสามารถทำนายฝันให้แก่กษัตริย์ว่าอียิปต์จะเกิดความแห้งแล้งในอีกเจ็ดปีข้างหน้า เขาจึงได้รับความไว้วางใจจากกษัตริย์ให้เป็นผู้มีอำนาจควบคุมการผลิตพืชผลการเกษตรทั้งหมดของอียิปต์
แม้จะเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของอียิปต์ซึ่งเป็นอาณาจักรใหญ่ในเวลานั้น แต่นบียูซุฟก็ไม่เคยคิดอาฆาตแก้แค้นบรรดาพี่ๆของตัวเอง ในทางตรงข้าม เขากลับเชิญยะกู๊บพ่อของเขาและพี่ชายที่วางแผนกำจัดเขามาอาศัยอยู่ในอียิปต์อย่างมีความสุข
กรณีของนบีมุฮัมมัด
เมื่อนบีมุฮัมมัดเริ่มเผยแผ่อิสลามและประกาศว่าท่านเป็นศาสนทูตของพระเจ้า พวกลูกหลานอิสราเอลที่อาศัยอยู่ในอารเบียต่างไม่พอใจและริษยาอาฆาตท่าน เหตุผลก็เพราะพวกลูกหลานอิสราเอลทะนงว่าหากจะมีนบีที่พวกตนรอคอยเกิดขึ้นบนโลกนี้ตามคำบอกของโมเสสและพระเยซู นบีผู้นั้นก็จะต้องเกิดขึ้นในหมู่ลูกหลานอิสราเอลซึ่งเป็นหมู่ชนที่พระเจ้าทรงเลือก เพราะบรรพบุรุษของพวกตนหลายคนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนบีมาในอดีตและพวกตนเป็นชนชาติที่มีคัมภีร์ทางศาสนา ส่วนพวกอาหรับนั้นเป็นชนชาติที่กักขฬะป่าเถื่อนและไม่มีคัมภีร์ทางศาสนามาก่อน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีนบีเกิดขึ้นในหมู่ชาวอาหรับ
แม้นบีมุฮัมมัดจะแสดงหลักฐานต่างๆยืนยันความเป็นนบีของท่านแก่พวกลูกหลานอิสราเอล แต่แรงริษยาของคนพวกนี้ก็รุนแรงเกินกว่าที่จะทนยอมรับความจริงได้ ในที่สุด คนพวกนี้ก็วางแผนกำจัดนบีมุฮัมมัดด้วยวิธีการต่างๆ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ มิหนำซ้ำกลับต้องมีชีวิตอย่างอัปยศด้วยเมื่อนบีมุฮัมมัดได้เป็นประมุขแห่งรัฐอิสลาม
การป้องกันความริษยา
เนื่องจากความริษยาเป็นมลทินแห่งใจที่ทำให้เกิดทุกข์และผลเสียไม่เพียงต่อตัวผู้อิจฉาริษยาเอง แต่ยังมีผลไปถึงผู้อื่นด้วย ดังนั้น อิสลามจึงได้ให้แนวทางป้องกันไว้ดังนี้
– เราต้องยอมรับว่าพระเจ้าให้มนุษย์แต่ละคนไม่เหมือนกันและไม่เท่ากัน การเห็นคนอื่นได้ดีกว่าหรือได้มากกว่าแสดงว่าเราไม่พอใจต่อความประสงค์ของพระเจ้าซึ่งมีแต่จะทำให้ตัวเองเกิดทุกข์ยิ่งขึ้นเมื่อเห็นคนถูกอิจฉาริษยาได้ดีกว่าหรือมีมากกว่า
– นบีมุฮัมมัดได้สอนว่า “ไม่มีการอิจฉาใครนอกไปจากสองกรณี นั่นคือ คนที่พระเจ้าประทานวิชาความรู้ให้และเขาสอนความรู้นั้นแก่ผู้คน และคนที่พระเจ้าประทานความมั่งคั่งให้พร้อมกับอำนาจที่จะใช้จ่ายมันในหนทางแห่งสัจธรรม”
– เมื่อเห็นคนอื่นได้ดีก็จงแสดงความยินดีกับคนผู้นั้น
– นบีมุฮัมมัดได้สอนไว้อีกว่า “ความริษยานั้นกลืนกินความดีเหมือนกับไฟที่กินฟืน”
– เนื่องจากความริษยาเป็นความชั่วที่เกิดจากการยุยงของซาตานมารร้าย อิสลามจึงสอนให้มุสลิมอ่านคำวิงวอนในคัมภีร์กุรอานเพื่อขอความคุ้มครองจากพระเจ้าให้พ้นจากความชั่วร้ายของการอิจฉาริษยา
อิมามฆอซาลี นักปราชญ์ผู้มีชื่อเสียงทางด้านจิตวิญญาณได้กล่าวว่า : “จงระวังไว้ให้ดีว่าความอิจฉาริษยาเป็นโรคที่ร้ายแรงที่สุดโรคหนึ่งของหัวใจและไม่มียาขนานใดที่จะรักษาโรคนี้นอกไปจากความรู้และการปฏิบัติ  ความรู้ที่จะรักษาโรคอิจฉาริษยาก็คือการรู้ว่าโรคนี้เป็นพิษภัยร้ายแรงต่อชีวิตและต่อศาสนาของตน…….  การที่ความอิจฉาริษยาเป็นอันตรายสำหรับศาสนาของผู้ที่อิจฉาริษยาก็เพราะความอิจฉาริษยานี้เองที่ทำให้เขาเกลียดชังความดีงามที่พระเจ้าได้ทรงจัดแบ่งไว้ให้แก่บ่าวของพระองค์ นอกจากนี้แล้ว เขายังเกลียดชังความยุติธรรมของพระองค์ที่ได้ทรงสร้างไว้ในโลกด้วย ดังนั้น ผู้อิจฉาริษยาจึงต่อสู้และต่อต้านความประสงค์ของพระเจ้าซึ่งเป็นการขัดกับความศรัทธา  หลังจากนั้น ผู้อิจฉาริษยาก็จะมีส่วนร่วมกับมารร้ายและบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาในการที่จะทำลายความดีงามให้หมดสิ้นไป  ความอิจฉาริษยาในหัวใจนี้เองที่กลืนกินความดีและลบล้างความดีเหมือนกับกลางคืนเข้ามาแทนกลางวัน  คนที่เป็นทุกข์จากความอิจฉาริษยาในชีวิตจะเจ็บปวดและทุกข์ใจทุกครั้งที่เขาเห็นคนที่เขาอิจฉาริษยาได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า”

Share:

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน

บทความทั้งหมด

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

คลังบทความของบล็อก

Recent Posts

ผู้ติดตาม