ดอกเบี้ย กับ ซะกาต
ในระบบทุนนิยมที่วางพื้นฐานอยู่บนระบบดอกเบี้ยและมีกำไรเป็นแรงจูงใจในการทำธุรกิจ หากนักธุรกิจคิดจะลงทุนทำอะไรสักอย่างหนึ่ง นักธุรกิจก็จะต้องนำปัจจัยทั้งสองมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจ สำหรับคนที่มีเงินทุนเป็นของตนเอง ถ้ากำไรที่ได้ต่ำกว่าหรือเท่ากับดอกเบี้ย เขาก็จะไม่ลงทุนถึงแม้ว่าโครงการนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมก็ตาม เพราะถ้าเขาเอาเงินฝากธนาคาร เขาก็จะได้ดอกเบี้ยตอบแทนโดยไม่ต้องเหนื่อยและไม่ต้องเสี่ยง ยิ่งถ้าต้องไปกู้ด้วยแล้วไม่จำเป็นต้องพูดถึง เมื่อเป็นเช่นนี้ การลงทุนก็ไม่เกิดขึ้นในสังคม เมื่อไม่มีการลงทุนก็ย่อมไม่มีการจ้างงาน ไม่มีการกระจายรายได้และไม่มีการเจริญเติบโตเป็นธรรมดา
ดังนั้น ถ้าหากว่าจะมีการลงทุน นักธุรกิจก็จะต้องบวกกำไรให้สูงกว่าอัตราดอกเบี้ย ราคาสินค้าก็จะสูงเพราะมีดอกเบี้ยเป็นต้นทุนอยู่ด้วย คนที่รับภาระจ่ายดอกเบี้ยก็คือผู้บริโภคซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนยากคนจนที่ไม่มีเงินฝากในธนาคาร แต่คนที่ได้เปรียบก็คือคนที่มีเงินล้านฝากเพื่อกินดอกเบี้ยอยู่ในธนาคาร
ในระบบดอกเบี้ย ถ้าหากใครมีเงินฝากอยู่ในธนาคาร 10 ล้านบาทในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 8 % ภายในหนึ่งปีคนผู้นั้นก็จะมีรายได้จากดอกเบี้ย 8 แสนบาทโดยไม่ต้องทำงานและไม่ต้องเสี่ยงใดๆ เงินจำนวนนี้มาจากนักธุรกิจและผู้บริโภคที่ต้องดิ้นรนหามาให้เขาผ่านทางระบบธนาคาร เมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง คนเหล่านี้จะสูญเสียรายได้จากดอกเบี้ยและจะออกมาร้องเอะอะโวยวาย และเนื่องจากคนที่ร่ำรวยมั่งคั่งมักจะมีอิทธิพลทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ รัฐบาลจึงต้องหาทางช่วยคนพวกนี้ด้วยวิธีการต่างๆเช่น การขายพันธบัตรที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่า เป็นต้น แต่ในที่สุดแล้ว ดอกเบี้ยที่นำมาจ่ายให้เจ้าของพันธบัตรก็คือภาษีจากประชาชนนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ ระบบดอกเบี้ยจึงเป็นระบบที่เอาเปรียบและกดขี่ขูดรีดคนยากคนจน
หลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรปในศตวรรษที่ 19 ระบบทุนนิยมได้ถ่างช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนให้กว้างมากขึ้น ประชาชนในหลายประเทศได้เห็นความไม่เป็นธรรมดังกล่าว จึงได้ร่วมกันลุกขึ้นปฏิวัติหรือไม่ก็ยึดกิจการของเอกชนเข้าเป็นของรัฐและนำเอาระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์เข้ามาใช้แทนระบบทุนนิยมโดยหวังว่าระบบนี้จะเป็นยาขนานเอกที่ช่วยเยียวยารักษาความเจ็บปวดจากการถูกกดขี่ขูดรีดในระบบทุนนิยมได้ แต่ในศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา กาลเวลาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าลัทธิคอมมิวนิสต์เองนอกจากจะไม่ได้ช่วยให้สังคมได้รับความเป็นธรรมตามอุดมการณ์จริงๆแล้วยังทำให้ชาวโลกนับร้อยนับพันล้านคนในประเทศต่างๆต้องได้รับการกดขี่ขูดรีดและต้องล้มตายลงไปจากการช่วงชิงอำนาจการเมืองกันเองในหมู่ผู้นำและการต่อสู้กับระบบทุนนิยม จนในปัจจุบันนี้ อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ได้ผ่อนคลายหลักการและท่าทีของตนเองลงไปมากหรือในบางประเทศก็เลิกใช้อุดมการณ์นี้ไปแล้ว แต่สิ่งที่ยังคงเหลือทิ้งไว้จากการต่อสู้ของสองอุดมการณ์ที่ขัดแย้งกันก็คือความไม่เป็นธรรมทางสังคมอีกนั่นเอง
อิสลาม : ทางเลือกที่สันติและเป็นธรรม
เพื่อขจัดความขัดแย้งทางสังคมและเพื่อสร้างความเป็นธรรมขึ้นในระบบเศรษฐกิจ อิสลามได้เสนอเสรีภาพในการประกอบอาชีพและการแสวงหากำไรให้แก่มนุษย์ในขณะที่ระบบคอมมิวนิสต์ไม่เปิดโอกาสให้ ขณะเดียวกัน อิสลามก็เสนอให้ทำลายระบบดอกเบี้ยซึ่งเป็นรากเหง้าของการกดขี่ขูดรีดในระบบทุนนิยมเสียเพื่อมิให้คนมั่งคั่งร่ำรวยได้เปรียบคนยากจนโดยไม่ต้องออกแรงทำงาน นอกจากนี้แล้ว อิสลามยังกำหนดไว้อีกว่าหากในแต่ละปีใครมีทรัพย์สินเช่น เงิน ทองคำ หุ้นและสินค้ามูลค่าเท่ากับราคาทองคำหนัก 5.6 บาทขึ้นไปจะต้องจ่าย 2.5% ของทรัพย์สินดังกล่าวเป็นซะกาตแก่บุคคล 8 ประเภทที่ศาสนากำหนดไว้ เช่น คนยากจน คนขัดสน คนมีหนี้สิน เป็นต้น
ดังนั้น หากมุสลิมคนใดมีเงินฝากธนาคารสมมุตว่า 10 ล้านบาทเพื่อเอาดอกเบี้ยไปกินไปใช้เป็นการส่วนตัว นั่นก็หมายความว่าเขายอมรับบาปที่หนักเท่ากับการผิดประเวณีกับแม่ของตัวเอง นอกจากจะรับดอกเบี้ยไม่ได้แล้ว เขายังมีหน้าที่ทางศาสนาที่จะต้องจ่ายซะกาตอีก 2.5 % ทุกปีด้วย
ในสภาวะเศรษฐกิจถดถอย ผู้คนจะจับจ่ายใช้สอยกันน้อยลง จึงไม่มีใครคิดที่จะลงทุนเพราะความเสี่ยงสูง ถึงแม้ดอกเบี้ยจะต่ำก็ตามที ดังนั้น เศรษฐกิจที่ถดถอยอยู่แล้วก็ยิ่งถดถอยหนักยิ่งขึ้นและในระบบทุนนิยมนั้นไม่มีมาตรการใดๆที่จะผลักดันเงินของเศรษฐีที่นอนอยู่เฉยๆให้ออกมาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ แต่ในอิสลาม ข้อกำหนดเรื่องการจ่ายซะกาตนี้จะผลักดันให้เงินออกมาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ เพราะถ้าหากใครเก็บเงินไว้เฉยๆโดยไม่นำออกมาหารายได้ให้เพิ่มพูนขึ้น ซะกาตก็จะกินทรัพย์สินของเขาไปปีละ 2.5% ทุกปี ดังนั้น ถ้าหากมีการลงทุนใดๆที่จะให้กำไร 2.5% ขึ้นไป เขาก็จะนำเงินออกมาลงทุนเพื่อให้มีรายได้เข้ามาชดเชยซะกาตที่เขาจะต้องจ่าย ด้วยเหตุนี้ ในระบบอิสลาม ซะกาตจึงเป็นกลไกอันหนึ่งที่จะผลักดันเงินที่ออมอยู่นิ่งๆของคนที่มั่งมีออกมาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอยู่ตลอดเวลา
ระบบเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันไม่มีมาตรการใดๆที่จะผลักดันความมั่งคั่งของคนมั่งมีให้ออกมาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้ ภาษีมรดกและภาษีทรัพย์สินก็เป็นฝันที่ค้างกันมานับยี่สิบปี ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลทำได้ก็คือ การไปกู้เงินจากต่างประเทศหรือกู้เงินจากสถาบันการเงินในประเทศเข้ามาอัดฉีดลงไปในระบบเศรษฐกิจ แต่ผลที่ตามมาก็คือรัฐบาลต้องมีหนี้สินมากขึ้น และคนที่ต้องชำระหนี้สินก็คือประชาชนผู้จ่ายภาษีอีกนั่นเอง ไม่ใช่เศรษฐี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น