ทฤษฎีวิวัฒนาการกับหลักฐานเท็จ : หายนะทางความคิดของเด็กไทย
หลังจากที่ประเทศตะวันตกแยกตัวออกจากศาสนจักรและพัฒนาวิชาการด้านวิทยาศาสตร์จนเจริญก้าวหน้าแล้ว ประเทศตะวันตกได้พยายามใช้วิทยาศาสตร์ทำลายความเชื่อทางศาสนาด้วย หนึ่งในความเชื่อทางศาสนาที่นักวิทยาศาสตร์วัตถุนิยมสมัยใหม่เจตนาจะทำลายก็คือความเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์ซึ่งเป็นความเชื่อพื้นฐานของศาสนา สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่พยายามนำเสนอต่อโลกก็คือทฤษฎีวิวัฒนาการที่มีรากฐานมาจากชาร์ลส ดาร์วินซึ่งถูกนำมาต่อยอดแบบรวบรัดว่ามนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิง
เป็นเวลาประมาณ 200 ปีแล้วนับตั้งแต่ชาร์ลส ดาร์วิน นำเสนอทฤษฎีนี้ แต่จนปัจจุบันก็ยังไม่มีหลักฐานจากซากฟอสซิลที่ชัดเจนเป็นตัวเป็นตนมาสนับสนุนเรื่อง“คนครึ่งลิง”ที่สื่อและพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการพยายามจะยัดเยียดให้คนเชื่อมาอย่างไม่หยุดหย่อน ถึงแม้พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการจะวางท่ายืนถือแปรงสร้างรูปภาพสิ่งมีชีวิตตามจินตนาการของตัวเองขึ้นมาก็ตาม แต่เนื่องจากไม่มีซากฟอสซิลใดที่แก้ปัญหาสำคัญให้คนพวกนี้ได้ ดังนั้น วิธีการหนึ่งที่คนพวกนี้นำมาใช้ในการที่จะเอาชนะปัญหานี้ก็คือการสร้างฟอสซิลปลอมขึ้นมา กรณีมนุษย์พิลท์ดาวน์ ซึ่งเป็นเรื่องอื้อฉาวที่สุดในประวัติศาสตร์ของวิทยาศาสตร์เป็นตัวอย่างหนึ่งของวิธีการนี้
มนุษย์พิลท์ดาวน์ : กระดูกกรามลิงอุรังอุตังและกะโหลกมนุษย์
ชาร์ลส ดอว์สัน นายแพทย์ผู้มีชื่อเสียงและนักขุดหาซากฟอสซิลสมัครเล่นได้ออกมากล่าวว่าเขาได้พบกระดูกกรามและเศษชิ้นส่วนหัวกะโหลกมนุษย์ในเมืองพิลท์ดาวน์ประเทศอังกฤษใน ค.ศ.1912 ถึงแม้ว่ากระดูกกรามจะเหมือนของลิงมากกว่า แต่ฟันและกะโหลกก็เหมือนกับของมนุษย์ ตัวอย่างเหล่านี้ได้ถูกปิดป้ายบอกว่าเป็น “มนุษย์พิลท์ดาวน์” กล่าวกันว่ากระดูกเหล่านี้มีอายุ 5 แสนปีและได้ถูกนำมาแสดงเป็นหลักฐานที่ชัดเจนถึงการวิวัฒนาการของมนุษย์ในหลายพิพิธภัณฑ์ เป็นเวลากว่า 40 ปีที่เรื่องราวของ “มนุษย์พิลท์ดาวน์” ได้ถูกนำมาเขียนบทความทางวิทยาศาสตร์หลายชิ้น ตลอดจนได้มีการอธิบายความหมาย การวาดภาพ และการนำเอาฟอสซิลไปแสดงเป็นหลักฐานสำคัญเพื่อยืนยันถึงวิวัฒนาการของมนุษย์ มีวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกที่เขียนถึงเรื่องนี้ไม่น้อยกว่า 500 เรื่อง เฮนรี แฟร์ฟิลด์ ออสบอร์น (Henry Fairfield Osborn) นักศึกษาซากยุคหินผู้มีชื่อเสียงได้กล่าวไว้ในตอนที่เขาไปเยี่ยมพิพิธภัณฑ์อังกฤษใน ค.ศ.1935 ว่า “…เราจะต้องจดจำไว้เสมอว่าธรรมชาตินั้นเต็มไปด้วยสิ่งที่แปลกประหลาดมากมาย และนี่เป็นความน่าทึ่งอย่างหนึ่งที่มีการพบเกี่ยวกับมนุษย์ในยุคก่อนหน้านี้…”
ใน ค.ศ.1949 นายเคนเนธ โอคลีย์ (Kenneth Oakley) จากแผนกโบราณวัตถุยุคหินของพิพิธภัณฑ์อังกฤษได้พยายามใช้วิธีการ“ทดสอบทางฟลูโอไรน์”ซึ่งเป็นการทดสอบใหม่เพื่อกำหนดอายุของฟอสซิลเก่าแก่บางอย่างกับมนุษย์พิลท์ดาวน์ ผลของการทดสอบเป็นที่น่าตื่นเต้น เพราะปรากฏว่ากระดูกกรามของมนุษย์พิลท์ดาวน์ไม่มีฟลูออรีนใดๆอยู่เลยซึ่งแสดงให้เห็นว่ามันได้ถูกฝังมาไม่กี่ปีนี้เอง หัวกะโหลกซึ่งมีฟลูออรีนอยู่เพียงเล็กน้อยนั้นก็แสดงว่ามันมีอายุไม่กี่พันปี
การศึกษาถึงขั้นตอนของเวลาด้วยวิธีการทางด้านฟลูออรีนได้เปิดเผยให้เห็นว่ากะโหลกมีอายุเพียงไม่กี่พันปีเท่านั้น นอกจากนี้แล้วยังเป็นที่ชัดเจนว่าฟันในกระดูกกรามที่เป็นของลิงอุรังอุตังนั้นได้ถูกนำมาใส่ไว้และเครื่องมือโบราณที่ถูกค้นพบได้พร้อมกับฟอสซิลก็เป็นการลอกเลียนแบบที่ถูกทำขึ้นมา หลังจากทำการการวิเคราะห์รายละเอียดแล้ว เรื่องที่ถูกกุขึ้นมานี้ก็ได้ถูกนำมาเปิดเผยต่อสาธารณชนใน ค.ศ.1953
กะโหลกดังกล่าวเป็นของมนุษย์ที่มีอายุ 500 ปี และกระดูกขากรรไกรก็เป็นของลิงใหญ่ที่ตายเมื่อไม่นานมานี้ ส่วนฟันก็ได้ถูกนำมาจัดเรียงไว้ในกรามหลังจากนั้นเป็นการเฉพาะและข้อต่อต่างๆก็ได้ถูกนำมาประกอบเข้าด้วยกันเพื่อให้เหมือนกับของมนุษย์ หลังจากนั้น ชิ้นส่วนเหล่านี้ทั้งหมดก็ได้ถูกทาด้วยโปแตสเซียมไดโครเมตเพื่อให้มันดูเก่าย้อนยุค สิ่งที่ได้ถูกทาไว้เหล่านี้ได้เริ่มหายไปเมื่อถูกจุ่มลงไปในกรด นายเลอโกรชาร์ลซึ่งเป็นหนึ่งในคณะที่เปิดโปงการสร้างหลักฐานเท็จนี้ไม่อาจปิดบังความประหลาดใจต่อสถานการณ์นี้ได้กล่าวว่า“หลักฐานร่องรอยที่สร้างขึ้นนี้เห็นได้ชัดจนต้องตั้งคำถามว่ามันลอดจากการสังเกตไปได้อย่างไร ?” หลังจากนั้น มนุษย์พิลท์ดาวน์ก็ถูกย้ายออกไปจากพิพิธภัณฑ์ที่มันได้ถูกนำมาแสดงไว้เป็นเวลากว่า 40 ปี
มนุษย์เนบราสกา : ฟันหมู
ใน ค.ศ.1922 เฮนรี แฟร์ฟิลด์ ออสบอร์น ผู้จัดการพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกันได้ประกาศว่าเขาได้พบฟอสซิลฟันกรามที่ใช้ขบเคี้ยวซี่หนึ่งในเนบราสกาตะวันตก กล่าวกันว่าฟันนี้มีลักษณะเหมือนฟันของมนุษย์และลิงใหญ่ ดังนั้น จึงได้เริ่มมีข้อถกเถียงทางวิทยาศาสตร์เกิดขึ้นซึ่งทำให้บางคนอธิบายว่าฟันนี้เป็นของสัตว์ลำตัวตั้งตรงและบางคนก็อ้างว่ามันใกล้เคียงกับของมนุษย์ ซากฟอสซิลนี้ได้ถูกเรียกว่า“มนุษย์เนบราสกา” และยังมีการตั้ง “ชื่อทางวิทยาศาสตร์” เสียยืดยาวด้วย
มีหลักฐานหลายอย่างที่สนับสนุนนายออสบอร์น และโดยอาศัยฟันเพียงซี่เดียวนี้เองที่ได้มีการสร้างหัวมนุษย์เนบราสกาและวาดภาพร่างกายขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์เนบราสกายังได้ถูกวาดภาพให้มีภรรยาและลูกๆอยู่กันเป็นครอบครัวในสภาพตามธรรมชาติอีกด้วย
ภาพวาดเหล่านี้ได้ถูกสร้างขึ้นมาจากฟันเพียงซี่เดียว วงการนักทฤษฎีวิวัฒนาการได้ให้ความเชื่อถือใน “มนุษย์ผี”นี้จนถึงขนาดที่ว่าเมื่อนายวิลเลียม ไบรอัน นักศึกษาค้นคว้าคนหนึ่งได้คัดค้านการตัดสินโดยอาศัยแค่ฟันเพียงซี่หนึ่ง เขาก็ต้องถูกวิจารณ์อย่างรุนแรง
ใน ค.ศ.1927 ได้มีการค้นพบว่าฟันดังกล่าวมิได้เป็นของมนุษย์และก็มิได้เป็นของลิงใหญ่ด้วย แต่มันเป็นฟันของหมูป่าอเมริกันชนิดหนึ่งซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้ว หลังจากนั้น เรื่องราวของมนุษย์เนบราสกาและครอบครัวก็ต้องถูกลบออกไปจากงานเขียนเกี่ยวกับทฤษฎีวิวัฒนาการ
โอตา เบงกา : ชาวอาฟริกาในถ้ำ
หลังจากที่ดาร์วินได้ออกมาอ้างไว้ในหนังสือเรื่อง The Descent of Man (ลูกหลานของมนุษย์) ว่ามนุษย์ได้วิวัฒนาการมาจากสิ่งมีชีวิตที่คล้ายลิงใหญ่ เขาก็เริ่มค้นหาซากฟอสซิลมาสนับสนุนข้ออ้างนี้ อย่างไรก็ตาม นักทฤษฎีวิวัฒนาการบางคนก็เชื่อว่า “สิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งลิง” ไม่เพียงแต่จะพบได้ในฟอสซิลเท่านั้น แต่ยังมีชีวิตอยู่ในบางส่วนของโลกอีกด้วย ในตอนต้นศตวรรษที่ 20 การค้นหา “ตัวเชื่อมต่อที่ยังมีชีวิต” ได้นำไปสู่เหตุการณ์น่าเศร้าเรื่องหนึ่ง นั่นคือเรื่องของชาวปิ๊กมี่ที่มีชื่อว่าโอตา เบงกา
โอตา เบงกาถูกจับตัวไว้ใน ค.ศ.1904 โดยนักศึกษาค้นคว้าทฤษฎีวิวัฒนาการในคองโก โดยภาษาของเขาแล้ว ชื่อของเขาหมายถึง “เพื่อน” เขามีภรรยาหนึ่งคนและลูกสองคน เขาถูกจับล่ามโซ่ใส่กรงไว้เหมือนกับสัตว์และถูกนำตัวมายังสหรัฐ ที่นั่นเขาได้ถูกนักวิทยาศาสตร์นำมาแสดงต่อหน้าสาธารณะในงานเซนต์หลุยส์เวิร์ลแฟร์พร้อมกับลิงเผ่าพันธุ์อื่นและได้ถูกแนะนำให้คนที่มาเข้าชมงานว่าเป็น “ตัวเชื่อมต่อที่ใกล้ชิดที่สุดกับมนุษย์” หลังจากนั้นอีกสองปี พวกเขาก็นำโอตา เบงกา ไปยังสวนสัตว์บรองซ์ในนิวยอร์คซึ่งที่นั่นเขาได้ถูกนำไปแสดงภายใต้ชื่อว่า “บรรพบุรุษโบราณของมนุษย์” พร้อมกับลิงชิมแปนซีสองสามตัวและลิงกอริลล่าที่มีชื่อว่าดินาห์หนึ่งตัวและลิงอุรังอุตังที่ถูกเรียกว่าโดฮังอีกหนึ่งตัว ดร.วิลเลียม ที. ฮอร์นาเดย์ ผู้อำนวยการสวนสัตว์ซึ่งเป็นนักทฤษฎีวิวัฒนาการได้กล่าวปาฐกถายืดยาวว่าเขาภูมิใจที่ได้มี“รูปแบบที่เปลี่ยนสภาพ”เช่นนี้ไว้ในสวนสัตว์ของเขาและปฏิบัติกับโอตา เบงกาเหมือนกับเขาเป็นสัตว์ธรรมดาตัวหนึ่ง แต่เนื่องจากโอตา เบงกาไม่สามารถที่จะทนต่อการปฏิบัติที่เขาได้รับ ในที่สุด เขาจึงฆ่าตัวตาย
มนุษย์พิลท์ดาวน์, มนุษย์เนบราสกา, โอตา เบงกา…. ความอื้อฉาวเหล่านี้แสดงให้เห็นว่านักทฤษฎีวิวัฒนาการไม่เคยลังเลที่จะใช้วิธีการที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ใดๆก็ได้เพื่อพิสูจน์ทฤษฎีของพวกตน
ทฤษฎีวิวัฒนาการที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์นี้เป็นทฤษฎีอันตรายและถูกสอนอยู่ในโรงเรียนสามัญมาเป็นเวลานานแล้ว หากเด็กไทยคิดว่ามนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิง พวกเขาก็จะคิดว่ามนุษย์ก็ไม่แตกต่างอะไรไปจากสัตว์ที่เกิดมาเพียงเพื่อกิน นอน ถ่ายสืบพันธุ์และตายเยี่ยงสัตว์โดยไม่ต้องรับผิดชอบการกระทำของตนหลังความตาย ความคิดเช่นนี้เองที่บ่อเพาะให้พวกเขาทำชั่วเมื่อพวกเขาโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ แต่เมื่อมนุษย์ทำชั่ว พวกเขาก็สามารถทำความชั่วได้มากกว่าสัตว์ เพราะมนุษย์ที่เจริญแล้วมีความรู้ความสามารถและเทคโนโลยีทำความชั่วได้มากกว่าสัตว์
โดย บรรจง บินกาซัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น