ความมั่งคั่งมิได้หมายถึงความมั่นคง

ความมั่งคั่งมิได้หมายถึงความมั่นคง

บทเรียนที่ได้จากประวัติศาสตร์
บรรจง บินกาซัน
ความมั่งคั่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ไขว่คว้าหากันโดยคิดว่ามันจะทำให้ชีวิตของตนเองมีความมั่นคงและสมบูรณ์พูนสุข  ดังนั้น ตลอดระยะเวลาแห่งประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เราจึงได้เห็นว่ามนุษย์ส่วนใหญ่ต่างทุ่มเทเวลาเพื่อแสวงหาความมั่งคั่งทางวัตถุมาโดยตลอด
มาในสมัยปัจจุบัน รัฐบาลของประเทศต่างๆก็พยายามหาทางสร้างความมั่งคั่งให้แก่ประเทศของตนจนถึงกับมีการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อบรรลุถึงความมั่งคั่งทั้งในระยะสั้นและระยะยาวกันมาหลายแผน
แต่เท่าที่ผ่านมา เราได้เห็นแล้วว่าขณะที่หลายประเทศ(รวมทั้งประเทศไทยเราเองด้วย)ได้อ้างว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจสามารถสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศในอัตราสูงขึ้นทุกปีนั้น ประชาชนหาได้มีความมั่นคงไม่  ในทางตรงข้าม สังคมของประเทศเหล่านั้นกลับขาดความมั่นคงปลอดภัยทั้งในด้านจิตใจ ครอบครัว การทำงานและศีลธรรมซึ่งเราจะเห็นได้จากคดีอาชญากรรมทางเพศ คดีข่มขืนฆ่า คดีฆาตกรรมและปัญหาสังคมอื่นๆเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนมาจากความเสื่อมทางศีลธรรม  หากปรากฏการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในสังคมใด มันคือสัญญาณบ่งบอกว่าไม่ช้าสังคมนั้นจะพังทลายในที่สุดไม่ว่าสังคมนั้นจะมั่งคั่งร่ำรวยแค่ไหนก็ตาม
ประวัติศาสตร์มีเรื่องราวมากมายที่ยืนยันว่าความมั่งคั่งและความเข้มแข็งทางวัตถุนั้นมิได้เป็นสิ่งที่ทำให้บุคคลและสังคมมีความมั่นคงเสมอไป
ชาวษะมูดในแผ่นดินอารเบียเมื่อหลายพันปีก่อนเป็นชนชาติที่ผู้คนมีความมั่งคั่ง เข้มแข็งและมีอำนาจ สามารถสร้างที่อยู่อาศัยโดยการเจาะภูเขาขนาดใหญ่ได้ ด้วยความทะนงหลงตนคิดว่าชาติของตนคงไม่อาจมีใครทำลายได้ บรรดาผู้ปกครองและประชาชนชาวษะมูดจึงเกิดความยโสโอหังต่อพระเจ้าและละเมิดคำสอนทางศีลธรรม กดขี่ข่มเหงคนอ่อนแอและท้าทายศาสดา  ในที่สุด ชาวษะมูดก็ต้องถูกทำลายด้วยมหันตภัยจากพลังอันรุนแรงของธรรมชาติที่พระเจ้าได้ทรงบันดาลขึ้นเพื่อเป็นการลงโทษจนสาบสูญไปจากโลก  บ้านเรือนที่ชาวษะมูดขุดเจาะไว้ในภูเขายังคงมีให้เราเห็นเป็นหลักฐานอยู่ในประเทศซาอุดีอารเบียจนกระทั่งทุกวันนี้
ชาวมัดยันหรือมีเดียนก็เป็นชนชาติโบราณอีกชาติหนึ่งซึ่งมีความเจริญมั่งคั่งทางการค้า  แต่ความเจริญมั่งคั่งของชาวมัดยันก็เต็มไปด้วยการฉ้อโกงสารพัด  พระเจ้าจึงได้แต่งตั้งชาวมัดยันคนหนึ่งให้เป็นศาสดาเพื่อมาตักเตือนคนเหล่านี้ให้ละทิ้งพฤติกรรมเลวทรามดังกล่าวเสีย  แต่ชาวมัดยันไม่เชื่อและฝ่าฝืนคำเตือน  ในที่สุด ชาวมัดยันก็เป็นอีกชนชาติหนึ่งที่ถูกทำลาย
โซดอมเป็นเมืองในอดีตอีกเมืองหนึ่งที่ประชาชนมีความมั่งคั่งและสุขสำราญกันจนเกินขอบเขตของศีลธรรม  ผู้คนในเมืองโซดอมนิยมชมชอบการมีความสัมพันธ์ทางเพศในหมู่ผู้ชายด้วยกันเองซึ่งคัมภีร์กุรอานกล่าวว่าเป็นพฤติกรรมชั่วที่ไม่เคยมีชนชาติใดเคยทำมาก่อน อย่าว่าแต่คนเลย  แม้แต่สัตว์เองก็ยังไม่กระทำ  ดังนั้น เมื่อพฤติกรรมทางศีลธรรมของผู้คนต่ำกว่าสัตว์ ในที่สุด พระผู้เป็นเจ้าจึงได้ทำลายผู้คนในเมืองนั้นด้วยการทำให้แผ่นดินระเบิดอย่างรุนแรงและฉับพลันจนเมืองทั้งเมืองพร้อมผู้คนทั้งหมดถูกฝังกลบไว้ใต้ธรณีก่อนรุ่งสาง  ปัจจุบัน นักโบราณคดีได้ค้นพบซากเมืองนี้จมอยู่ใต้น้ำทางตอนใต้ของทะเลสาบเดดซี  และชื่อของเมืองโซดอมได้ถูกนำมาใช้เป็นศัพท์ว่า “โซโดมี” ซึ่งหมายถึงการมีความสัมพันธ์ทางเพศในหมู่ผู้ชายด้วยกัน
สมัยก่อนหน้านบีมุฮัมมัด อาณาจักรโรมันและเปอร์เซียเป็นสองมหาอำนาจยิ่งใหญ่เกรียงไกรที่สุดในเวลานั้น ไม่ต่างไปจากสหรัฐอเมริกาและจีนหรือรัสเซียในปัจจุบัน  ความมั่งคั่งอย่างเหลือล้นของอาณาจักรโรมันมีมากจนถึงขนาดที่ว่าอาหารในงานเลี้ยงของจักรพรรดิโรมันและขุนนางชั้นสูงมีมากมายจนผู้มาร่วมงานเลี้ยงต้องเอามือล้วงคอให้อาเจียนออกมาเพื่อที่จะกินอาหารอย่างอื่นอีก แต่หลังจากนั้นไม่นาน  อาณาจักรโรมันก็ต้องล่มสลายเพราะความเสื่อมทรามทางศีลธรรมและพ่ายแพ้ต่อชาวอาหรับที่ครั้งหนึ่งพวกโรมันเคยดูถูกว่าเป็นชาติป่าเถื่อนที่กินซากสัตว์
หลังจากนั้นไม่นาน อาณาจักรเปอร์เซียคู่แข่งของอาณาจักรโรมันก็ต้องล่มสลายและตกเป็นของชาวอาหรับเพราะความอหังการฉีกสาส์นของศาสดามุฮัมมัดที่ส่งไปตักเตือน
สัจธรรมของพระเจ้าเป็นสากลและยังคงทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ไม่เว้นแม้แต่ประชาชาติมุสลิม
ในสมัยอิสลามยุคต้น  ประชาชาติมุสลิมภายใต้การปกครองของท่านนบีมุฮัมมัดและเคาะลีฟะฮฺผู้ทรงคุณธรรมทั้งสี่ดำเนินชีวิตอย่างพอประมาณภายในขอบเขตของศาสนบัญญัติ  ถึงแม้จะมั่งคั่ง แต่ก็ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน  โดยเฉพาะเคาะลีฟะฮฺทั้งสี่นั้น ทุกคนใช้ชีวิตอย่างสมถะถึงแม้แผ่นดินอิสลามจะขยายออกไปอย่างกว้างขวางและมีความมั่งคั่งก็ตาม
แต่หลังจากนั้น ในสมัยของราชวงศ์อุมัยยะฮฺ ชาวมุสลิมซึ่งมีความมั่งคั่งทางวัตถุได้เริ่มออกห่างจากแนวทางของอิสลาม  ผู้ปกครองเริ่มหาความสุขจากการสร้างวังหรูหราใหม่เพื่อใช้เป็นสถานที่พักผ่อน ล่าสัตว์ ดื่มสิ่งมึนเมาและเต้นรำท่ามกลางผู้หญิงสวยงามและนักดนตรี  ไม่นานนัก  พระผู้เป็นเจ้าก็ได้ทรงเรียกความมั่งคั่งและความมั่นคงที่พระองค์ประทานแก่ชนชาติเหล่านั้นกลับคืน  ราชวงศ์อุมัยยะฮฺถูกทำลายและเคาะลีฟะฮฺแห่งราชวงศ์นี้ได้ถูกพวกอับบาซียะฮฺสังหารจนหมดราชวงศ์
เมื่อพวกอับบาซียะฮฺขึ้นมาครองอำนาจและย้ายเมืองหลวงของราชวงศ์อุมัยยะฮฺจากดามัสกัสไปอยู่ที่แบกแดด  พวกอับบาซียะฮฺได้สร้างความเจริญมั่งคั่งให้แก่ประชาชาติมุสลิมยิ่งกว่าสมัยของราชวงศ์อุมัยยะฮฺเสียอีก  เมืองแบกแดดที่เคาะลีฟะฮฺแห่งราชวงศ์อับบาซียะฮฺสร้างขึ้นนั้นมีความสวยงามมากที่สุดในโลกจนเหมือนกับเมืองในฝันจนเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดวรรณกรรม “อาหรับราตรี” ขึ้นมา
แบกแดดนอกจากจะสวยงามแล้วยังเป็นศูนย์กลางการค้าสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในเวลานั้นด้วย  ตลอดทั้งปีจะมีเรือสินค้าจากส่วนต่างๆของโลกนำสินค้ามากมายเข้ามาค้าขายเพิ่มความมั่งคั่งให้แก่เมืองอยู่อย่างต่อเนื่อง   แต่ความเจริญมั่งคั่งทางวัตถุโดยทิ้งหลักการที่อิสลามวางไว้ก็ไมได้ทำให้ราชวงศ์อับบาซียะฮฺมีความมั่นคงยั่งยืน
หลังจากที่พระผู้เป็นเจ้าให้เวลาผู้คนและผู้ปกครองในเวลานั้นปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตมานาน แต่ผู้คนกลับทำเป็นทองไม่รู้ร้อน  ในที่สุด พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงลงโทษผู้ปกครองและผู้คนในเมืองนี้ด้วยการส่งพวกมงโกลภายใต้การน้ำของเจงกิสข่านเข้ามาทำลายราชวงศ์ผู้ปกครอง ผู้คนและเมืองแบกแดดลงอย่างราบคาบ  กำแพงเมืองแบกแดดซึ่งสูงถึง 112 ฟุต มีความหนาที่ฐานกำแพง 164 ฟุตและยอดกำแพงหนา 46 ฟุตซึ่งเคาะลีฟะฮฺแห่งราชวงศ์นี้สร้างไว้เพื่อป้องกันการรุกรานจากภายนอกนั้นไม่สามารถช่วยป้องกันราชวงศ์อับบาซียะฮฺและเมืองแบกแดดให้พ้นจากการถูกทำลายได้เลย
นักประวัติศาสตร์กล่าวว่าประวัติศาสตร์มักจะทบทวนตัวของมันเองอยู่เสมอ เพราะประวัติศาสตร์คือผลงานการกระทำของมนุษย์ในอดีต และมนุษย์ในอดีตกับปัจจุบันก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน   มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงเผ่าพันธุ์เดียวเท่านั้นที่สามารถรู้จักประวัติศาสตร์  และในหมู่มนุษย์ด้วยกันเองนั้น ใครรู้ประวัติศาสตร์ก็ย่อมได้เปรียบกว่าคนอื่น เพราะประวัติศาสตร์คือที่มาของปัจจุบันซึ่งเป็นที่ไปสู่อนาคต
Share:

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน

บทความทั้งหมด

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

คลังบทความของบล็อก

Recent Posts

ผู้ติดตาม