แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อิสลามกับวิทยาศาสตร์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อิสลามกับวิทยาศาสตร์ แสดงบทความทั้งหมด
การขลิบหนังปลายอวัยวะเพศชาย : ความสำคัญทางการแพทย์และศาสนา
การขลิบหนังปลายอวัยวะเพศชาย : ความสำคัญทางการแพทย์และศาสนา
ถึงแม้ที่มาของมันจะไม่เป็นที่รู้กัน แต่หลักฐานเก่าแก่ที่สุดของการขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชายสามารถย้อนหลังไปได้ถึงสมัยอียิปต์ประมาณ 2300 ปีก่อนคริสตกาล เดิมทีฟาโรห์ได้ใช้การขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชายเพื่อเป็นเครื่องหมายของพวกทาส เมื่อพวกโรมันเข้ามายึดครองอียิปต์เมื่อ 30 ปีก่อนคริสตกาล การขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศให้แก่เด็กหนุ่มก็แพร่ไปทั่วโลก หลังสงครามโลกครั้งที่สอง มันก็เป็นที่ปฏิบัติกันแทบจะเป็นของสากลในตะวันตก
อย่างไรก็ตาม ในอเมริกาเหนือปัจจุบัน ประมาณกันว่า 85% ของเด็กเกิดใหม่ได้ถูกขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ ในยุโรปมีแค่เพียง 10% แต่ในเอเซียและแอฟริกามีแค่เพียง 5% เท่านั้น ส่วนในหมู่ชนที่มิใช่ยิวของยุโรป สแกนดิเนเวียและอเมริกาใต้นั้นมีการปฏิบัติน้อยมาก ทีนี้ขอให้เรามาดูข้อเท็จจริงเกี่ยวกับขลิบหนังปลายอวัยวะเพศและประโยชน์ทางด้านการแพทย์ของมันดูบ้าง
ความสำคัญทางด้านพิธีกรรม
การขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชายเป็นที่ปฏิบัติกันอย่างกว้างขวางในหมู่ชนเผ่าที่ถือผีสางเทวดาในอาฟริกา หมู่เกาะมาเลย์ นิวกินี ออสเตรเลียและเกาะแปซิฟิก กลุ่มคนพื้นเมืองบางกลุ่มในอเมริกาใต้และอเมริกากลางก็มีพิธีการทำผ่าตัดอวัยวะเพศบางอย่างแก่เพศชายและเพศหญิงเช่นกัน
ในชนบางเผ่า การขลิบหนังปลายอวัยวะเพศมักจะเป็นพิธีกรรมที่ทำกับเด็กที่ก้าวเข้าสู่วัยหนุ่ม บางครั้ง ความเจ็บปวดในการตัดหนังปลายอวัยวะเพศนี้ได้ถูกใช้เป็นเครื่องเซ่นแก่ภูตผีปีศาจ ขณะเดียวกัน การตัดหนังปลายอวัยวะเพศก็เป็นสิ่งยืนยันถึงความพร้อมในการแต่งงานและความเป็นผู้ใหญ่และเป็นสิ่งยืนยันว่าบุคคลผู้นั้นสามารถทนความเจ็บปวดได้ นอกจากนี้แล้ว การตัดหนังปลายอวัยวะเพศชายยังเป็นสิ่งที่แยกวัฒนธรรมของคนกลุ่มหนึ่งออกจากกลุ่มคนที่ไม่ได้ทำเช่นนั้นด้วย
ในหมู่ชาวอียิปต์โบราณ โดยทั่วไปแล้ว เด็กผู้ชายจะถูกตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศระหว่างอายุ 6-12 ขวบ การผ่าตัดในวัยแรกรุ่นนี้เป็นตัวแทนถึงการเริ่มต้นเข้าสู่ความเป็นผู้ชาย
พิธีกรรมทางศาสนา
ประเพณีและกฎหมายของชาวยิวเกี่ยวกับการขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศนั้นมาจากคัมภีร์ไบเบิล คัมภีร์ตัลมูดและจารีตของชาวยิวซึ่งถ่ายทอดกันมาจากชนรุ่นหนึ่งมายังชนอีกรุ่นหนึ่ง
ในประเพณีทางศาสนาของชาวยิว การขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศของทารกเพศชายถือเป็นสิ่งจำเป็นในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของพันธะสัญญากับพระเจ้า ตามกฎหมายของพวกเลวี ทารกเพศชายชาวยิวทุกคนจะต้องได้รับการขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศในวันที่ 8 หลังจากการเกิด คำบัญชาแรกของคัมภีร์สำคัญห้าฉบับก็คือเด็กผู้ชายทุกคนจะต้องตัดหนังหุ้มปลายองคชาติ (ดูฉบับปฐมกาล 17:10-14) และการปฏิบัติตามพิธีกรรมนี้ถือว่าเป็นความสำคัญทางศาสนา
ตามคัมภีร์ไบเบิล การตัดหนังหุ้มปลายองคชาติเป็นคำบัญชาแรกที่พระเจ้ามีต่ออับราฮัมและเป็นศูนย์กลางของศาสนายูดาย อับราฮัมบิดาของชาวยิวรับใช้พระผู้เป็นเจ้าด้วยความซื่อสัตย์มาเป็นเวลาหลายปี แต่ท่านก็เพิ่งจะมาขลิบหนังปลายองคชาตของท่านตามคำบัญชาของพระเจ้าในตอนที่ท่านอายุได้ 99 ปี (ดูฉบับปฐมกาล 17:1)
ในพันธะสัญญาเก่าฉบับปฐมกาล 17:10-11 ก็ได้มีการเขียนไว้ว่า : “ นี่เป็นพันธะสัญญาของเราซึ่งเจ้าจะต้องรักษาระหว่างเรากับเจ้าและเชื้อสายของเจ้าที่จะสืบมา คือผู้ชายทุกคนจะต้องเข้าสุหนัต เจ้าจงเข้าสุหนัตหนังหุ้มปลายองคชาติของเจ้า นี่จะเป็นการหมายสำคัญของพันธะสัญญาระหว่างเรากับเจ้า” พันธะสัญญาเก่าได้เอ่ยถึงคำว่า “บริส” (ในภาษาฮิบรูหมายถึงพันธะสัญญา) ถึง 13 ครั้งด้วยกันเกี่ยวกับการเข้าสุหนัต
หน้าที่ในการเข้าสุหนัตให้เด็กชาวยิวนั้นตกอยู่ที่พ่อ ในกรณีที่พ่อไม่อยู่หรือไม่สามารถจัดการทำพิธีเข้าสุหนัตได้ หน้าที่ก็จะตกเป็นของสังคมและชาวยิวทุกคนจำเป็นต้องทำสุหนัต
ผู้ทำหน้าที่เข้าสุหนัตถูกเรียกว่า “โมเฮล” ซึ่งเป็นผู้ผ่าตัดที่มีความชำนาญเป็นพิเศษในการทำสุหนัต หลังจากทำพิธีกรรมแล้ว โมเฮลจะตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศของทารกพร้อมกับตั้งชื่อและอวยพรให้ คนที่จะเป็นโมเฮลได้นั้นจะต้องเป็นผู้เกรงกลัวพระเจ้า ต้องเป็นชาวยิวผู้ปฏิบัติตามคัมภีร์และได้รับการฝึกอบรมในทางด้านกฎหมายของชาวยิวและทางการแพทย์
สำหรับชาวยิว การนำทารกไปขลิบหนังปลายอวัยวะเพศโดยศัลยแพทย์ที่โรงพยาบาลนั้นยังถือว่าไม่เป็นสมบูรณ์ตามความต้องการของพิธีการเข้าสุหนัตแบบชาวยิว เพราะยังจะต้องมีพิธีกรรมทางศาสนาอีก
ลักษณะของธรรมชาติแห่งอิสลาม
ในหมู่ชาวอาหรับ การเข้าสุหนัตมีมาก่อนที่จะมีอิสลามเกิดขึ้น (ค.ศ.570) ในหมู่ชาวอาหรับและชาวเอธิโอเปียนั้น การเข้าสุหนัตจะทำหลังจากการเกิดได้ไม่นานหรือบางทีสองสามปีหลังการเกิด อบูฮุร็อยเราะฮฺรายงานว่าท่านศาสนทูตของอัลลอฮได้กล่าวว่า “ อิบรอฮีมทำสุหนัตตนเองหลังจากที่ท่านอายุได้ 80 ปี”
อิสลามต้องการให้ชายมุสลิมขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศเพื่อที่จะส่งเสริมความสะอาด ท่านศาสดามุฮัมมัดได้กล่าวว่า : “ มีการกระทำห้าสิ่งที่ใกล้เคียงกับฟิตเราะฮฺ (ธรรมชาติอันบริสุทธิ์) หรือห้าสิ่งที่เป็นการกระทำตามฟิตเราะฮฺ นั่นคือ การเข้าสุหนัต การโกนขนอวัยวะเพศ การตัดเล็บ การถอนขนรักแร้และการขลิบหนวด”
นักวิชาการหลายคนกล่าวการกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งจำเป็น นักวิชาการสำนักชาฟีอีถือว่าการเข้าสุหนัตควรจะทำในวันที่เจ็ดหลังจากที่เด็กเกิด แต่อัช-เชากานีย์กล่าวว่า “ไม่มีสิ่งใดที่ระบุไว้อย่างชัดเจนถึงเรื่องเวลา”
การเข้าสุหนัตได้หายไปจากประเพณีของชาวพุทธ ชาวฮินดูและลัทธิขงจื๊อ นอกจากนั้นแล้ว คริสตจักรเองก็ไม่มีหลักการที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ชาวคริสเตียนไม่จำเป็นต้องเข้าสุหนัตได้ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิลฉบับกิจการของอัครทูตบทที่ 15 ปัจจุบัน มีแต่คริสตจักรอบิสสิเนียเท่านั้นในบรรดาองค์การคริสตจักรที่ยอมรับการเข้าสุหนัตว่าเป็นพิธีกรรมทางศาสนา
การทำสุนัตทางด้านการแพทย์
นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 พลเมืองที่พูดภาษาอังกฤษจำนวนมากได้หันมาทำสุหนัตกันด้วยเหตุผลทางการแพทย์ ในประเทศตะวันตก ได้มีการขลิบหนังปลายองคชาติอย่างกว้างขวางเนื่องมาจากเหตุผลทางด้านความสะอาด ในโรงพยาบาลหลายแห่งจะตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศให้แก่เด็กเกิดใหม่เป็นประจำเว้นแต่จะไม่ได้รับคำยินยอมจากผู้ปกครองเด็ก ในทางการแพทย์สมัยใหม่ การตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศของผู้ชายถือเป็นการผ่าตัดเล็กที่กระทำให้เด็กเพื่อความสะอาด จากทัศนะทางด้านการแพทย์ การเข้าสุหนัตก็คือการตัดหนังหุ้มปลายองคชาติออกเพื่อให้หนังหุ้มอวัยวะเพศหดหายเข้าไปข้างหลังหัวองคชาติ ในตอนเกิด เด็กๆจะมีหนังที่หุ้มปลายองคชาติอยู่ แต่เมื่อหนังตรงปลายถูกตัด หัวขององคชาติก็จะถูกเปิดออกซึ่งจะทำให้สิ่งสกปรกไม่สามารถเข้าไปหมักหมมส่งกลิ่นเหม็นอยู่ที่ปลายองคชาติและอาจก่อให้เกิดเชื้อโรคได้
แพทย์ในศตวรรษที่ 19 ได้แนะนำให้ตัดหนังหุ้มปลายองคชาติเพื่อการป้องกันโรคภัยต่างๆ เช่นโรคฮิสทีเรีย การแพร่เชื้อกามโรค เป็นต้น นอกจากนี้แล้ว ยังได้มีการยกหลักฐานมาอ้างอีกว่าคนที่เข้าสุหนัตจะมีอัตราการเป็นมะเร็งทางอวัยวะเพศต่ำมาก
การศึกษาวิจัยเมื่อเร็วๆนี้พบว่าการตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศให้แก่ลูกของตนเองนั้นมีผลดีทางการแพทย์บางอย่าง เช่น โอกาสที่จะติดโรคทางเดินปัสสาวะน้อยมาก เด็กที่ไม่ได้ตัดหนังหุ้มหลายองคชาติจะมีโอกาสไตอักเสบเป็น 10 เท่าของเด็กที่ตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศตั้งแต่ตอนเป็นทารก แม้แต่การตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศในตอนเป็นผู้ใหญ่ก็ยังป้องกันโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ สำหรับไตแล้ว การติดเชื้อเป็นอันตรายที่สุดในสามเดือนแรกซึ่งในระหว่างนี้ผู้ป่วยมักจะต้องไปโรงพยาบาลและอาจจะมีผลติดเชื้อรุนแรงอย่างอื่นติดตามมา การทำงานของไตและการหลั่งฮอร์โมนผิดปกติสามารถเกิดขึ้นกับการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะได้ นอกจากนี้แล้ว การติดเชื้อแบคทีเรียจากสิ่งสกปรกที่หมักหมมอยู่ภายใต้หนังหุ้มปลายองคชาติก็อาจนำไปสู่การติดเชื้อของไตได้เช่นกัน
ผู้ชายที่เข้าสุหนัตแทบจะไม่เป็นมะเร็งที่อวัยวะเพศเลย การติดเชื้อที่หนังหุ้มปลายองคชาติสามารถเกิดขึ้นกับผู้ชายที่ไม่เข้าสุหนัตในอายุเท่าใดก็ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นในตอนอายุ 2-5 ปี ซึ่งเป็นวัยที่หนังหุ้มปลายองคชาติยังแยกไม่หมด ดังนั้น จึงไม่สามารถถลกให้เปิดออกได้เต็มที่เพื่อทำความสะอาด นอกจากนั้นแล้ว เด็กเองก็ไม่สามารถทำความสะอาดให้ตัวเองได้และในที่สุดก็จะต้องไปตัดเอาในตอนหลังซึ่งเสียค่าใช้จ่ายแพง ด้วยเหตุนี้ การทำสุหนัตให้แก่เด็กตั้งแต่เกิดมาจึงทำให้สามารถรักษาความสะอาดได้ตลอดชีวิต
การศึกษายังแสดงให้เห็นว่าคนที่ตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศมีอัตราเสี่ยงต่อการติดโรคทางเพศน้อยมาก ส่วนผู้ชายที่ไม่ตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศนั้นจะมีโอกาสติดเชื้อมากกว่า เพราะในระหว่างการมีความสัมพันธ์ทางเพศนั้น หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศสามารถถลอกหรือเป็นแผลเล็กๆที่ทำให้เชื้อไวรัสเข้าไปในบาดแผลนั้นได้ เป็นที่คาดกันว่าหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศอาจจะปล่อยให้ไว้รัสและเชื้อโรคอื่นๆสามารถอยู่รอดได้ยาวนานกว่าที่อยู่ข้างนอกและมีเวลามากกว่าที่จะเข้าไปในร่างกาย เมื่อเร็วๆนี้มีการพบว่าเซลล์บางอย่างในหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศสามารถที่จะดักไวรัสเอชไอวีและทำให้เกิดการติดเชื้อได้
ความจริงแล้ว การตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากในประเทศยากจนที่มีโรคระบาดและไม่สามารถจัดมาตรฐานสุขอนามัยทางการแพทย์ได้
การตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานทางเพศลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด ในทางตรงข้าม จากหลักฐานที่ถูกตีพิมพ์แสดงให้เห็นว่าคนที่ตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศสามารถมีกิจกรรมทางเพศได้หลากหลายและผู้หญิงจะชอบผู้ชายที่ตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศเพราะเหตุผลเรื่องความสะอาดและสุขอนามัย
บทความโดยบรรจง บินกาซัน
ซัมซัม : ของขวัญจากอัลลอฮฺ แก่บรรดาผู้ศรัทธา
ซัมซัม : ของขวัญจากอัลลอฮฺ แก่บรรดาผู้ศรัทธา
บันทึกการตรวจสอบและทดสอบ โดย ฏอรีก ฮุซเซน และมุอีนุดดีน อะหมัด
บรรจง บินกาซัน แปล
เมื่อช่วงเวลาแห่งการทำฮัจญ์เวียนมาถึงครั้งใด มันเตือนให้ผมนึกถึงความมหัศจรรย์แห่งน้ำซัมซัมทุกที สิ่งที่กลายเป็นความทรงจำของผมนี้เริ่มต้นในปี ค.ศ.1971 โดยการที่มีหมอชาวอียิปต์คนหนึ่งได้เขียนจดหมายไปเล่าให้หนังสือพิมพ์ยุโรปว่าน้ำซัมซัมไม่เหมาะสำหรับดื่ม
เดิมทีผมคิดว่านี่เป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของความอคติที่มีต่อมุสลิมและคำพูดของหมอผู้นี้อาจจะอาศัยเหตุผลมาจากความคิดที่ว่าก๊ะอฺบ๊ะฮฺเป็นสถานที่ต่ำ(ใต้ระดับน้ำทะเล)และตั้งอยู่ในใจกลางเมืองมักก๊ะฮฺ น้ำเสียทั้งหลายของเมืองจะไหลมารวมกันในบ่อน้ำแห่งนี้
โชคดีที่กษัตริย์ไฟซอลแห่งซาอุดิอารเบียได้ยินข่าวนี้ พระองค์จึงโกรธเป็นอย่างมากและต้องการที่จะลบล้างคำพูดยั่วยุของหมอชาวอียิปต์คนนั้น พระองค์ได้มีบัญชาไปถึงกระทรวงทรัพยากรเกษตรและน้ำให้ทำการสอบสวนและได้ส่งตัวอย่างของน้ำซัมซัมไปยังห้องทดลอง ทางวิทยาศาสตร์ในยุโรปเพื่อทดสอบว่าน้ำซัมซัมสามารถดื่มได้หรือไม่ ดังนั้น กระทรวงจึงได้สั่งให้โรงงานพลังงานและแยกเกลือญิดด๊ะฮฺทำการทดสอบ และที่โรงงานแห่งนี้เองที่ผมได้ถูกจ้างให้มาทำหน้าที่ในฐานะวิศวกรพิสูจน์น้ำ
ผมจำได้ว่าผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าบ่อน้ำซัมซัมมีอะไรอยู่และน้ำในบ่อนี้มีลักษณะเหมือนอะไร ผมได้ไปยังมักก๊ะฮฺและได้ไปรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ดูแลก๊ะอฺบ๊ะฮฺเพื่ออธิบายถึงวัตถุประสงค์ในการมาของผม หลังจากนั้น พวกเขาก็ส่งคนผู้หนึ่งให้มาคอยช่วยเหลือผมตามที่ผมต้องการ เมื่อมาถึงบ่อน้ำ ผมแทบไม่เชื่อว่าบ่อน้ำซึ่งมีลักษณะเหมือนแอ่งน้ำเล็กๆแอ่งหนึ่งกว้างยาวประมาณ 18 x14 ฟุตจะเป็นบ่อน้ำที่ให้น้ำนับล้านแกลลอนทุกปีแก่บรรดาผู้ไปประกอบพิธีฮัจญ์นับตั้งแต่มันเกิดขึ้นมาในสมัยของนบีอิบรอฮีมเมื่อหลายพันปีก่อนหน้านี้
ผมเริ่มการตรวจสอบโดยเริ่มต้นจากการวัดขนาดของบ่อน้ำทั้งด้านกว้าง ด้านยาวและความลึก ผมขอให้คนผู้นั้นแสดงถึงความลึกของบ่อน้ำ เขาจึงเริ่มอาบน้ำชำระล้างตัวของเขาและลงไปในบ่อแล้วยืดตัวตรง ผมเห็นระดับน้ำสูงขึ้นมาแค่ไหล่ของเขาเท่านั้น เขาสูงประมาณ 5 ฟุต 8 นิ้ว หลังจากนั้น เขาก็ย้ายจากมุมหนึ่งของบ่อน้ำไปยังอีกมุมหนึ่งโดยไม่อนุญาตให้จุ่มหัวลงไปในน้ำเพื่อหาดูว่าในบ่อน้ำมีท่อน้ำมาจากที่ไหน อย่างไรก็ตาม คนผู้นั้นก็รายงานว่าเขาไม่พบท่อน้ำใดๆในบ่อน้ำ ผมจึงเกิดความคิดขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ การใช้ปั๊มน้ำขนาดใหญ่ที่ติดตั้งอยู่ในบ่อน้ำสูบน้ำขึ้นมาอย่างรวดเร็วและมาขังไว้ในถังน้ำซัมซัม ด้วยวิธีการนี้จะทำให้ระดับน้ำในบ่อลดลงอย่างรวดเร็วจนเราสามารถหาที่มาของน้ำได้
เป็นเรื่องน่าประหลาดที่เราไม่เห็นสิ่งใดในระหว่างที่มีการสูบน้ำออก แต่ผมรู้ว่านี่เป็นเพียงวิธีการหนึ่งที่เขาสามารถพบทางเข้าของน้ำมายังบ่อแห่งนี้ได้ ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจที่จะทำมันอีกครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้ ผมได้สั่งคนผู้นั้นให้ยืนอยู่ในที่แห่งหนึ่งและคอยเฝ้าดูสิ่งผิดปกติใดๆที่จะเกิดขึ้นในบ่อน้ำ หลังจากนั้นสักครู่หนึ่ง เขาก็ยกมือขึ้นและร้องตะโกนว่า “อัลฮัมดุลิลลาฮฺ ผมพบมันแล้ว ทรายกำลังขยับตัวอยู่ใต้เท้าของผมขณะที่น้ำไหลซึมออกมาจากก้นบ่อ” หลังจากนั้น เขาก็เคลื่อนตัวไปรอบบ่อในระหว่างที่มีการปั๊มน้ำและสังเกตเห็นปรากฏการณ์อย่างเดียวกันทุกแห่งในบ่อน้ำ ความจริงแล้ว น้ำที่เข้ามาในบ่อนี้ไหลเข้ามาจากก้นบ่อทุกจุด ดังนั้น มันจึงรักษาระดับน้ำให้คงที่อยู่ตลอดเวลา
หลังจากเสร็จสิ้นการสังเกตการณ์แล้ว ผมก็นำตัวอย่างของน้ำไปทดสอบในห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ในยุโรป ก่อนที่ผมจะออกมาจากก๊ะอฺบ๊ะฮฺ ผมได้ถามเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องบ่อน้ำอื่นๆรอบมักก๊ะฮฺ และก็ได้ทราบว่าบ่อน้ำเหล่านั้นแห้งเกือบหมดแล้ว เมื่อไปถึงสำนักงานของผมในญิดด๊ะฮฺ ผมก็รายงานเรื่องการพบของผมให้นายของผมฟัง นายของผมฟังด้วยความสนใจอย่างมาก แต่ก็แสดงความเห็นที่ไร้เหตุผลว่าบ่อน้ำซัมซัมอาจจะเชื่อมโยงกับทะเลแดง เป็นไปได้อย่างไรในเมื่อมักก๊ะฮฺห่างจากทะเลประมาณ 75 กิโลเมตรและบ่อน้ำต่างๆที่ตั้งอยู่ก่อนจะถึงตัวเมืองล้วนแห้งขอดหมดแล้ว ? ผลของการทดสอบตัวอย่างน้ำโดยห้องทดลองของยุโรปและที่ถูกวิเคราะห์ในห้องทดลองของเรานั้นแทบจะเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน
ความแตกต่างระหว่างน้ำซัมซัมและน้ำอื่นๆในเมืองก็คือปริมาณเกลือแคลเซียมและเกลือแมกนีเซียม ปรากฏว่าในน้ำซัมซัมมีสารเหล่านี้สูงกว่านิดหน่อย นี่อาจเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมน้ำซัมซัมจึงทำให้ผู้ทำฮัจญ์ที่เหนื่อยล้าเกิดความสดชื่น แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ น้ำซัมซัมมีสารฟลูออไรด์ที่มีผลต่อการฆ่าเชื้อโรค
ยิ่งไปกว่านั้น คำพูดของผู้ปฏิบัติการในห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ในยุโรปก็แสดงว่าน้ำซัมซัมเหมาะสำหรับดื่ม ดังนั้น คำพูดของหมอชาวอียิปต์จึงถูกพิสูจน์ว่าเป็นคำพูดเท็จ เมื่อเรื่องนี้ได้ถูกรายงานถึงกษัตริย์ไฟซอล พระองค์ทรงยินดีมากและได้สั่งตอบโต้รายงานที่ลงในหนังสือพิมพ์ยุโรป ในด้านหนึ่ง มันเป็นเรื่องดีงามอย่างยิ่งที่การศึกษานี้ได้ถูกทำขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นถึงองค์ประกอบทางเคมีของน้ำซัมซัม ความจริงแล้ว ยิ่งเราค้นคว้ามากขึ้น เราก็จะพบความน่าประหลาดใจมากขึ้นซึ่งทำให้เราเชื่อในความมหัศจรรย์ว่าอัลลอฮฺได้ประทานมันเป็นของขวัญสำหรับบรรดาผู้ศรัทธาที่เดินทางจากแดนไกลเพื่อมาทำฮัจญ์ยังแผ่นดินทะเลทรายแห่งนี้
ผมจึงอยากสรุปถึงลักษณะของน้ำซัมซัมว่าบ่อน้ำแห่งนี้ไม่เคยแห้งขอด ในทางตรงกันข้าม มันจะตอบสนองความต้องการน้ำอยู่เสมอ มันจะรักษาองค์ประกอบของเกลือและรสชาติอย่างเดียวกันนี้ไว้ตั้งแต่มันเกิดขึ้นมาแล้ว น้ำซัมซัมเป็นที่ยอมรับว่าใช้ดื่มได้ดังจะเห็นได้จากผู้มาเยี่ยมเยียนก๊ะอฺบ๊ะฮฺเพื่อทำฮัจญ์และอุมเราะฮฺได้ดื่มกันโดยไม่เคยมีใครบ่นถึงเรื่องนี้ แต่พวกเขากลับมีความสุขกับการดื่มน้ำซัมซัมที่ทำให้พวกเขาสดชื่น
น้ำซัมซัมไม่เคยผ่านกระบวนการเคมีบำบัดหรือใช้สารคลอรีนทำความสะอาดดังที่ปฏิบัติกันกับน้ำที่ถูกปั๊มเข้าไปในเมือง การเจริญเติบโตทางด้านชีวภาพและการเกิดขึ้นของพืชมักจะเกิดขึ้นในบ่อน้ำส่วนใหญ่ซึ่งทำให้น้ำมีรสชาติไม่ถูกปากอันเนื่องมาจากการเจริญเติบโตของตะไคร่ที่สร้างปัญหารสและกลิ่นขึ้นมา แต่ในกรณีของบ่อน้ำซัมซัมนั้น เราไม่เห็นสิ่งใดๆที่แสดงถึงการเจริญเติบโตทางด้านชีวภาพเลย
หลายศตวรรษก่อนหน้านี้ นางฮาญัรฺ แม่ของอิสมาอีลได้ออกแสวงหาน้ำในเนินเขาเศาะฟาและมัรวะฮ์ให้แก่ลูกของนางด้วยความสิ้นหวัง ขณะที่นางวิ่งจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งเพื่อแสวงหาน้ำอยู่นั้น บ่อน้ำแห่งหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาบนผิวดิน ด้วยความโปรดปรานของอัลลอฮฺ บ่อน้ำแห่งนั้นได้กลายมาเป็นบ่อน้ำแห่งหนึ่งซึ่งถูกเรียกว่าซัมซัม
ทฤษฎีวิวัฒนาการกับหลักฐานเท็จ : หายนะทางความคิดของเด็กไทย
ทฤษฎีวิวัฒนาการกับหลักฐานเท็จ : หายนะทางความคิดของเด็กไทย
หลังจากที่ประเทศตะวันตกแยกตัวออกจากศาสนจักรและพัฒนาวิชาการด้านวิทยาศาสตร์จนเจริญก้าวหน้าแล้ว ประเทศตะวันตกได้พยายามใช้วิทยาศาสตร์ทำลายความเชื่อทางศาสนาด้วย หนึ่งในความเชื่อทางศาสนาที่นักวิทยาศาสตร์วัตถุนิยมสมัยใหม่เจตนาจะทำลายก็คือความเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์ซึ่งเป็นความเชื่อพื้นฐานของศาสนา สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่พยายามนำเสนอต่อโลกก็คือทฤษฎีวิวัฒนาการที่มีรากฐานมาจากชาร์ลส ดาร์วินซึ่งถูกนำมาต่อยอดแบบรวบรัดว่ามนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิง
เป็นเวลาประมาณ 200 ปีแล้วนับตั้งแต่ชาร์ลส ดาร์วิน นำเสนอทฤษฎีนี้ แต่จนปัจจุบันก็ยังไม่มีหลักฐานจากซากฟอสซิลที่ชัดเจนเป็นตัวเป็นตนมาสนับสนุนเรื่อง“คนครึ่งลิง”ที่สื่อและพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการพยายามจะยัดเยียดให้คนเชื่อมาอย่างไม่หยุดหย่อน ถึงแม้พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการจะวางท่ายืนถือแปรงสร้างรูปภาพสิ่งมีชีวิตตามจินตนาการของตัวเองขึ้นมาก็ตาม แต่เนื่องจากไม่มีซากฟอสซิลใดที่แก้ปัญหาสำคัญให้คนพวกนี้ได้ ดังนั้น วิธีการหนึ่งที่คนพวกนี้นำมาใช้ในการที่จะเอาชนะปัญหานี้ก็คือการสร้างฟอสซิลปลอมขึ้นมา กรณีมนุษย์พิลท์ดาวน์ ซึ่งเป็นเรื่องอื้อฉาวที่สุดในประวัติศาสตร์ของวิทยาศาสตร์เป็นตัวอย่างหนึ่งของวิธีการนี้
มนุษย์พิลท์ดาวน์ : กระดูกกรามลิงอุรังอุตังและกะโหลกมนุษย์
ชาร์ลส ดอว์สัน นายแพทย์ผู้มีชื่อเสียงและนักขุดหาซากฟอสซิลสมัครเล่นได้ออกมากล่าวว่าเขาได้พบกระดูกกรามและเศษชิ้นส่วนหัวกะโหลกมนุษย์ในเมืองพิลท์ดาวน์ประเทศอังกฤษใน ค.ศ.1912 ถึงแม้ว่ากระดูกกรามจะเหมือนของลิงมากกว่า แต่ฟันและกะโหลกก็เหมือนกับของมนุษย์ ตัวอย่างเหล่านี้ได้ถูกปิดป้ายบอกว่าเป็น “มนุษย์พิลท์ดาวน์” กล่าวกันว่ากระดูกเหล่านี้มีอายุ 5 แสนปีและได้ถูกนำมาแสดงเป็นหลักฐานที่ชัดเจนถึงการวิวัฒนาการของมนุษย์ในหลายพิพิธภัณฑ์ เป็นเวลากว่า 40 ปีที่เรื่องราวของ “มนุษย์พิลท์ดาวน์” ได้ถูกนำมาเขียนบทความทางวิทยาศาสตร์หลายชิ้น ตลอดจนได้มีการอธิบายความหมาย การวาดภาพ และการนำเอาฟอสซิลไปแสดงเป็นหลักฐานสำคัญเพื่อยืนยันถึงวิวัฒนาการของมนุษย์ มีวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกที่เขียนถึงเรื่องนี้ไม่น้อยกว่า 500 เรื่อง เฮนรี แฟร์ฟิลด์ ออสบอร์น (Henry Fairfield Osborn) นักศึกษาซากยุคหินผู้มีชื่อเสียงได้กล่าวไว้ในตอนที่เขาไปเยี่ยมพิพิธภัณฑ์อังกฤษใน ค.ศ.1935 ว่า “…เราจะต้องจดจำไว้เสมอว่าธรรมชาตินั้นเต็มไปด้วยสิ่งที่แปลกประหลาดมากมาย และนี่เป็นความน่าทึ่งอย่างหนึ่งที่มีการพบเกี่ยวกับมนุษย์ในยุคก่อนหน้านี้…”
ใน ค.ศ.1949 นายเคนเนธ โอคลีย์ (Kenneth Oakley) จากแผนกโบราณวัตถุยุคหินของพิพิธภัณฑ์อังกฤษได้พยายามใช้วิธีการ“ทดสอบทางฟลูโอไรน์”ซึ่งเป็นการทดสอบใหม่เพื่อกำหนดอายุของฟอสซิลเก่าแก่บางอย่างกับมนุษย์พิลท์ดาวน์ ผลของการทดสอบเป็นที่น่าตื่นเต้น เพราะปรากฏว่ากระดูกกรามของมนุษย์พิลท์ดาวน์ไม่มีฟลูออรีนใดๆอยู่เลยซึ่งแสดงให้เห็นว่ามันได้ถูกฝังมาไม่กี่ปีนี้เอง หัวกะโหลกซึ่งมีฟลูออรีนอยู่เพียงเล็กน้อยนั้นก็แสดงว่ามันมีอายุไม่กี่พันปี
การศึกษาถึงขั้นตอนของเวลาด้วยวิธีการทางด้านฟลูออรีนได้เปิดเผยให้เห็นว่ากะโหลกมีอายุเพียงไม่กี่พันปีเท่านั้น นอกจากนี้แล้วยังเป็นที่ชัดเจนว่าฟันในกระดูกกรามที่เป็นของลิงอุรังอุตังนั้นได้ถูกนำมาใส่ไว้และเครื่องมือโบราณที่ถูกค้นพบได้พร้อมกับฟอสซิลก็เป็นการลอกเลียนแบบที่ถูกทำขึ้นมา หลังจากทำการการวิเคราะห์รายละเอียดแล้ว เรื่องที่ถูกกุขึ้นมานี้ก็ได้ถูกนำมาเปิดเผยต่อสาธารณชนใน ค.ศ.1953
กะโหลกดังกล่าวเป็นของมนุษย์ที่มีอายุ 500 ปี และกระดูกขากรรไกรก็เป็นของลิงใหญ่ที่ตายเมื่อไม่นานมานี้ ส่วนฟันก็ได้ถูกนำมาจัดเรียงไว้ในกรามหลังจากนั้นเป็นการเฉพาะและข้อต่อต่างๆก็ได้ถูกนำมาประกอบเข้าด้วยกันเพื่อให้เหมือนกับของมนุษย์ หลังจากนั้น ชิ้นส่วนเหล่านี้ทั้งหมดก็ได้ถูกทาด้วยโปแตสเซียมไดโครเมตเพื่อให้มันดูเก่าย้อนยุค สิ่งที่ได้ถูกทาไว้เหล่านี้ได้เริ่มหายไปเมื่อถูกจุ่มลงไปในกรด นายเลอโกรชาร์ลซึ่งเป็นหนึ่งในคณะที่เปิดโปงการสร้างหลักฐานเท็จนี้ไม่อาจปิดบังความประหลาดใจต่อสถานการณ์นี้ได้กล่าวว่า“หลักฐานร่องรอยที่สร้างขึ้นนี้เห็นได้ชัดจนต้องตั้งคำถามว่ามันลอดจากการสังเกตไปได้อย่างไร ?” หลังจากนั้น มนุษย์พิลท์ดาวน์ก็ถูกย้ายออกไปจากพิพิธภัณฑ์ที่มันได้ถูกนำมาแสดงไว้เป็นเวลากว่า 40 ปี
มนุษย์เนบราสกา : ฟันหมู
ใน ค.ศ.1922 เฮนรี แฟร์ฟิลด์ ออสบอร์น ผู้จัดการพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกันได้ประกาศว่าเขาได้พบฟอสซิลฟันกรามที่ใช้ขบเคี้ยวซี่หนึ่งในเนบราสกาตะวันตก กล่าวกันว่าฟันนี้มีลักษณะเหมือนฟันของมนุษย์และลิงใหญ่ ดังนั้น จึงได้เริ่มมีข้อถกเถียงทางวิทยาศาสตร์เกิดขึ้นซึ่งทำให้บางคนอธิบายว่าฟันนี้เป็นของสัตว์ลำตัวตั้งตรงและบางคนก็อ้างว่ามันใกล้เคียงกับของมนุษย์ ซากฟอสซิลนี้ได้ถูกเรียกว่า“มนุษย์เนบราสกา” และยังมีการตั้ง “ชื่อทางวิทยาศาสตร์” เสียยืดยาวด้วย
มีหลักฐานหลายอย่างที่สนับสนุนนายออสบอร์น และโดยอาศัยฟันเพียงซี่เดียวนี้เองที่ได้มีการสร้างหัวมนุษย์เนบราสกาและวาดภาพร่างกายขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์เนบราสกายังได้ถูกวาดภาพให้มีภรรยาและลูกๆอยู่กันเป็นครอบครัวในสภาพตามธรรมชาติอีกด้วย
ภาพวาดเหล่านี้ได้ถูกสร้างขึ้นมาจากฟันเพียงซี่เดียว วงการนักทฤษฎีวิวัฒนาการได้ให้ความเชื่อถือใน “มนุษย์ผี”นี้จนถึงขนาดที่ว่าเมื่อนายวิลเลียม ไบรอัน นักศึกษาค้นคว้าคนหนึ่งได้คัดค้านการตัดสินโดยอาศัยแค่ฟันเพียงซี่หนึ่ง เขาก็ต้องถูกวิจารณ์อย่างรุนแรง
ใน ค.ศ.1927 ได้มีการค้นพบว่าฟันดังกล่าวมิได้เป็นของมนุษย์และก็มิได้เป็นของลิงใหญ่ด้วย แต่มันเป็นฟันของหมูป่าอเมริกันชนิดหนึ่งซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้ว หลังจากนั้น เรื่องราวของมนุษย์เนบราสกาและครอบครัวก็ต้องถูกลบออกไปจากงานเขียนเกี่ยวกับทฤษฎีวิวัฒนาการ
โอตา เบงกา : ชาวอาฟริกาในถ้ำ
หลังจากที่ดาร์วินได้ออกมาอ้างไว้ในหนังสือเรื่อง The Descent of Man (ลูกหลานของมนุษย์) ว่ามนุษย์ได้วิวัฒนาการมาจากสิ่งมีชีวิตที่คล้ายลิงใหญ่ เขาก็เริ่มค้นหาซากฟอสซิลมาสนับสนุนข้ออ้างนี้ อย่างไรก็ตาม นักทฤษฎีวิวัฒนาการบางคนก็เชื่อว่า “สิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งลิง” ไม่เพียงแต่จะพบได้ในฟอสซิลเท่านั้น แต่ยังมีชีวิตอยู่ในบางส่วนของโลกอีกด้วย ในตอนต้นศตวรรษที่ 20 การค้นหา “ตัวเชื่อมต่อที่ยังมีชีวิต” ได้นำไปสู่เหตุการณ์น่าเศร้าเรื่องหนึ่ง นั่นคือเรื่องของชาวปิ๊กมี่ที่มีชื่อว่าโอตา เบงกา
โอตา เบงกาถูกจับตัวไว้ใน ค.ศ.1904 โดยนักศึกษาค้นคว้าทฤษฎีวิวัฒนาการในคองโก โดยภาษาของเขาแล้ว ชื่อของเขาหมายถึง “เพื่อน” เขามีภรรยาหนึ่งคนและลูกสองคน เขาถูกจับล่ามโซ่ใส่กรงไว้เหมือนกับสัตว์และถูกนำตัวมายังสหรัฐ ที่นั่นเขาได้ถูกนักวิทยาศาสตร์นำมาแสดงต่อหน้าสาธารณะในงานเซนต์หลุยส์เวิร์ลแฟร์พร้อมกับลิงเผ่าพันธุ์อื่นและได้ถูกแนะนำให้คนที่มาเข้าชมงานว่าเป็น “ตัวเชื่อมต่อที่ใกล้ชิดที่สุดกับมนุษย์” หลังจากนั้นอีกสองปี พวกเขาก็นำโอตา เบงกา ไปยังสวนสัตว์บรองซ์ในนิวยอร์คซึ่งที่นั่นเขาได้ถูกนำไปแสดงภายใต้ชื่อว่า “บรรพบุรุษโบราณของมนุษย์” พร้อมกับลิงชิมแปนซีสองสามตัวและลิงกอริลล่าที่มีชื่อว่าดินาห์หนึ่งตัวและลิงอุรังอุตังที่ถูกเรียกว่าโดฮังอีกหนึ่งตัว ดร.วิลเลียม ที. ฮอร์นาเดย์ ผู้อำนวยการสวนสัตว์ซึ่งเป็นนักทฤษฎีวิวัฒนาการได้กล่าวปาฐกถายืดยาวว่าเขาภูมิใจที่ได้มี“รูปแบบที่เปลี่ยนสภาพ”เช่นนี้ไว้ในสวนสัตว์ของเขาและปฏิบัติกับโอตา เบงกาเหมือนกับเขาเป็นสัตว์ธรรมดาตัวหนึ่ง แต่เนื่องจากโอตา เบงกาไม่สามารถที่จะทนต่อการปฏิบัติที่เขาได้รับ ในที่สุด เขาจึงฆ่าตัวตาย
มนุษย์พิลท์ดาวน์, มนุษย์เนบราสกา, โอตา เบงกา…. ความอื้อฉาวเหล่านี้แสดงให้เห็นว่านักทฤษฎีวิวัฒนาการไม่เคยลังเลที่จะใช้วิธีการที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ใดๆก็ได้เพื่อพิสูจน์ทฤษฎีของพวกตน
ทฤษฎีวิวัฒนาการที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์นี้เป็นทฤษฎีอันตรายและถูกสอนอยู่ในโรงเรียนสามัญมาเป็นเวลานานแล้ว หากเด็กไทยคิดว่ามนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิง พวกเขาก็จะคิดว่ามนุษย์ก็ไม่แตกต่างอะไรไปจากสัตว์ที่เกิดมาเพียงเพื่อกิน นอน ถ่ายสืบพันธุ์และตายเยี่ยงสัตว์โดยไม่ต้องรับผิดชอบการกระทำของตนหลังความตาย ความคิดเช่นนี้เองที่บ่อเพาะให้พวกเขาทำชั่วเมื่อพวกเขาโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ แต่เมื่อมนุษย์ทำชั่ว พวกเขาก็สามารถทำความชั่วได้มากกว่าสัตว์ เพราะมนุษย์ที่เจริญแล้วมีความรู้ความสามารถและเทคโนโลยีทำความชั่วได้มากกว่าสัตว์
โดย บรรจง บินกาซัน
หัวใจจะให้ใครครอง
หัวใจจะให้ใครครอง
บรรจง บินกาซัน
โดยปรกติ มนุษย์ได้รับประสาทสัมผัสทั้งห้า(อายตนะ) อันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้นและผิวหนังเพื่อการรับรู้สิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์เอง อวัยวะเหล่านี้เป็นเครื่องรับรู้และเป็นประตูให้สิ่งต่างๆเข้าไปในตัวของมนุษย์ สติปัญญาจะเป็นตัวคัดกรองสิ่งต่างๆที่มนุษย์รับเข้ามา หลังจากนั้น สมองจะส่งสิ่งที่คัดกรองไปเก็บไว้ในหัวใจเป็นความเชื่อ และความเชื่อจะเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์
ดังนั้น พฤติกรรมของมนุษย์จึงขึ้นอยู่กับสิ่งที่ประสาทสัมผัสของมนุษย์รับเข้าไปและมันมีผลต่อทั้งร่างกายและจิตใจของมนุษย์ จมูกรับควันพิษเข้าไปมากๆร่างกายก็อยู่ไม่ได้ อาหารเป็นพิษผ่านปากเข้าไปก็ทำให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยา
ในชีวิตประจำวัน มนุษย์ไม่ได้รับแค่อากาศและอาหารเข้าสู่ร่างกายเพื่อความอยู่รอดและการเจริญเติบโตเท่านั้น แต่ยังรับภาพและข้อมูลข่าวสารจากสื่อต่างๆผ่านหูผ่านตาอีกด้วย และสิ่งเหล่านี้มีผลต่อความคิดและจิตใจมนุษย์เช่นกัน
เด็กที่เกิดมามีพ่อแม่ต่างชาติต่างภาษา สามารถพูดภาษาที่ต่างกันของพ่อและแม่ได้เพราะได้ยินทุกวัน นี่เป็นเรื่องดี แต่ถ้าเด็กเติบโตมาท่ามกลางเสียงด่าทอของพ่อแม่และเห็นพ่อแม่ตบตีกันทุกวัน เด็กคนนั้นถ้าไม่มีพฤติกรรมซึมเศร้าก็อาจจะมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าว
ผู้ใหญ่ก็เช่นกัน ถ้าได้รับข่าวสารผ่านหูผ่านตาจากสื่อต่างๆ พฤติกรรมก็จะเปลี่ยนไป สมัยก่อน คนไทยได้ชื่อว่าเป็นเลิศในเรื่องการทำอาหารและใช้วัสดุตามธรรมชาติปรุงรสจนมีภาษิตว่า “เสน่ห์ปลายจวัก ผัวรักจนตาย” แต่เมื่อมีการโฆษณาผงชูรสผ่านหูผ่านตาทุกวันต่อเนื่องเป็นเวลานาน คนไทยก็หันมาใช้ผงชูรสจนขาดไม่ได้
นอกจากโฆษณาสินค้าแล้ว ทุกวันเมื่อตื่นขึ้นมา มนุษย์ยังดูข่าวและภาพยนตร์ผ่านทางสื่อต่างๆอีกสารพัด ภาพความรุนแรงของอาชญากรรม ภาพความเชื่อเรื่องโชคลางไสยศาสตร์และละครน้ำเน่าที่นำเสนอผ่านทางทีวีล้วนมีผลกระทบต่อจิตใจของผู้ชมทั้งสิ้น ถ้าไม่ชินชา ก็หวาดกลัวหรือไม่ก็เกลียดชังและอยากจะทำให้แรงกว่าสิ่งที่เห็นในสื่อ
ภาพเครื่องบินชนตึกเวิร์ลเทรดที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารถูกแช่ไว้ในสื่อกระแสหลักของโลกและสื่อของประเทศต่างๆได้นำไปแพร่ต่อ มีผลทำให้คนทั่วโลกเชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงและทำให้เกิดโรคอิสลาโมโฟเบียหรือโรคหวาดกลัวอิสลาม
ภาพบางอย่างที่ไม่สมควรนำออกมาแพร่ แต่ก็ถูกสื่อโทรทัศน์นำออกมาเผยแพร่โดยมีข้อความน่าขำกำกับว่า “โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม” ในฐานะผู้ชม ผมจึงอยากตอกสื่อกลับไปว่า “โปรดใช้วิจารณญาณในการแพร่ภาพ” บ้างเช่นกัน มิเช่นนั้น สื่อก็จะแปรสภาพเป็นพาหะที่นำโรคร้ายสู่ความคิดและจิตใจของมนุษย์
สิ่งไม่ดีไม่งามหรือสิ่งที่ผิดศีลธรรมเหล่านี้คือมลทินที่ไหลผ่านหูผ่านตาเข้าไปในจิตใจของมนุษย์และเมื่อสติปัญญาไม่สามารถแยกได้ว่าอะไรผิดอะไรถูก มลทินเหล่านี้ก็จะเข้าไปยึดพื้นที่ในหัวใจซึ่งเป็นที่อาศัยของวิญญาณ
นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมทารกที่มีวิญญาณสะอาดผ่องแผ้วในตอนแรกจึงเป็นที่รักและเอ็นดูของผู้คน แต่เมื่อทารกคนเดียวกันนั้นโตขึ้นและมีการรับรู้มากขึ้น พฤติกรรมจึงเปลี่ยนแปลงไปเพราะสภาพแวดล้อมรอบตัว หากมิได้รับการขัดเกลา วิญญาณที่มีมลทินเปรอะเปื้อนจะเป็นวิญญาณสกปรกที่บงการมนุษย์ให้ทำความชั่ว
ดังนั้น ศาสนาจึงสอนวิธีการขัดเกลาจิตใจของมนุษย์ให้สะอาดผ่องแผ้วเพื่อพร้อมที่จะส่งคืนวิญญาณสู่พระเจ้าผู้เป็นเจ้าของในสภาพที่สะอาดบริสุทธิ์เหมือนสภาพในตอนเป็นทารกแรกเกิด เพราะอนาคตของวิญญาณจะเป็นอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับความสะอาดของดวงวิญญาณ
ในอดีต การปกป้องวิญญาณให้สะอาดผ่องแผ้วทำโดยการปลีกตัวออกจากสิ่งที่จะเป็นมลทินต่อจิตวิญญาณ แต่เมื่อโลกวิวัฒนาการไป มนุษย์ไม่สามารถปลีกตัวออกจากสังคมได้ การสวดมนต์จึงเป็นการแย่งชิงพื้นที่หัวใจมาให้ศีลธรรมครอบครอง การบริจาคทานเป็นการทำความสะอาดหัวใจให้หมดจดปราศจากมลทินแห่งความตระหนี่ถี่เหนียว เป็นต้น
ในอิสลาม การละหมาดวันละห้าเวลาและการกล่าวคำรำลึกถึงพระเจ้าที่ทำได้ในทุกย่างก้าวของชีวิตเป็นกรรมวิธีช่วงชิงพื้นที่ของหัวใจไว้สำหรับพระเจ้า เพราะการระลึกถึงพระเจ้าจะทำให้หัวใจสงบและความเกรงกลัวพระเจ้าจะทำให้มนุษย์ปลอดพ้นจากบาป
Facebook : https://www.facebook.com/Banjong.Binkason
Facebook : https://www.facebook.com/Banjong.Binkason