บันทึกความทรงจำเพื่อเป็นสิ่งเตือนใจ

บันทึกความทรงจำเพื่อเป็นสิ่งเตือนใจ
บรรจง บินกาซัน

บ่ายวันพุธที่ 12 ตุลาคม 2559 โรงพยาบาลศิริราช มีผู้คนมากมายเดินกันขวักไขว่  และที่ลานพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระบรมราชชนก พระบิดาแห่งการแพทย์ไทยแผนใหม่   ผมเห็นผู้คนซึ่งส่วนใหญ่ใส่เสื้อสีชมพู ทะยอยไปชุมนุมกันสวดมนต์อธิษฐานให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้หายจากอาการประชวร   และมีนักข่าวไปรอทำข่าวอยู่ที่นั่นมากมาย   ผมเริ่มมีความรู้สึกวังเวง  แม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายก็ตาม   ทั้งนี้ เพราะผมไม่อยากให้สิ่งที่ตัวเองคิดไว้ต้องมาเริ่มต้นเร็วเกินกว่าที่คิด


เมื่อผมเสร็จธุระและออกจากโรงพยาบาล   มีตำรวจมากมายมายืนกำกับการจราจรตามถนนที่มุ่งสู่โรงพยาบาลศิริราช   ผมยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น  เมื่อรู้ว่าจะมีขบวนเสด็จของบุคคลสำคัญต่างๆในพระบรมราชวงศ์มายังโรงพยาบาลศิริราช   ผมเริ่มติดตามข่าวคราวอาการประชวรของพระองค์ด้วยความกังวล แม้ผมจะเป็นคนที่ยอมรับได้ว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

วันรุ่งขึ้น สิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดเร็วกว่าที่คิดก็เกิดขึ้น  เมื่อสำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต  หัวใจผมรู้สึกหวิวขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินข่าว แต่เนื่องจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นความจริงสากล และตรงกับคำสอนของคัมภีร์กุรอานที่กล่าวว่า “ทุกชีวิตต้องได้ลิ้มรสความตาย” การยอมรับความจริงดังกล่าวจึงช่วยทำให้หัวใจรู้สึกผ่อนคลายลง   นี่คือประโยชน์จากคำสอนของศาสนาที่มีต่อหัวใจ
ผมเกิดมาในสมัยรัชกาลที่ 9 และได้เห็นพระองค์ทรงงานทั่วทุกภาคของประเทศไทยมาตั้งแต่เด็ก  และประทับใจในความห่วงใยที่พระองค์ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยทุกคนโดยไม่แบ่งแยก   จริยวัตรของพระองค์ทำให้ผมรู้สึกว่า งานคือชีวิตของพระองค์   ภาพของพระองค์ที่อยู่ในความทรงจำของผมมีมากมาย   แต่ที่ประทับใจที่สุดคือภาพพระพักตร์ที่มีหยดพระเสโท(เหงื่อ)ไหลที่ปลายพระนาสิก(จมูก)   ภาพพระองค์ทรงคุกเข่าลงนั่งสนทนากับหญิงชราที่มารับเสด็จโดยไม่ถือพระองค์   ภาพพระองค์ทรงสนทนากับแวเด็ง ปูเต๊ะ พระสหายแห่งสายบุรี เป็นต้น
จริยวัตรของพระองค์อีกอย่างหนึ่งที่ผมประทับใจในฐานะพสกนิกรชาวไทยผู้นับถือศาสนาอิสลามก็คือ  บทบาทการเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก  ผู้ทรงให้การอุปถัมภ์แก่ทุกศาสนาในประเทศไทย  และทำให้ชาวไทยผู้นับถือศาสนาอิสลามได้รับเสรีภาพทางศาสนามากกว่าในอีกหลายประเทศ   พระองค์ทรงให้การสนับสนุนการแปลและการจัดพิมพ์คัมภีร์กุรอานเป็นภาษาไทย  ซึ่งทำให้คนไทยไม่ว่าศาสนิกใดสามารถเข้าถึงความหมายของคัมภีร์กุรอานได้ ทรงอุทิศพระราชทรัพย์บริจาคเพื่อสร้างมัสยิดบางแห่งอย่างเช่น มัสยิดนูรุลเอี๊ยะฮ์ซาน ตำบลห้วยทรายใต้ จังหวัดเพชรบุรี   การเสด็จเยี่ยมมัสยิดต้นสน ตั้งแต่ผมยังไม่เกิด   การให้เกียรติแก่สังคมมุสลิมด้วยการมาเป็นองค์ประธานในงานเมาลิดกลาง  ซึ่งทำให้พสกนิกรชาวไทยผู้นับถือศาสนาอิสลามได้มีโอกาสรับเสด็จพระองค์อย่างใกล้ชิด

เคราะห์กรรมและการสูญเสียเป็นการทดสอบอย่างหนึ่งซึ่งทุกคนต้องพบในชีวิต   คัมภีร์กุรอานมีคำสอนถึงเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า “เรา(พระเจ้า)จะทดสอบสูเจ้าด้วยบางสิ่งจากความกลัว ความหิวและการสูญเสียทรัพย์สิน  ชีวิตและพืชผล แต่จงแจ้งข่าวดีแก่ผู้อดทนที่เมื่อเคราะห์กรรมมาประสบกับพวกเขา   พวกเขาก็กล่าวว่า ‘แท้จริง เราเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้าและยังพระองค์ที่เราจะกลับไป”   คนเหล่านี้แหละที่จะได้รับพรประเสริฐและความเมตตาจากพระเจ้า   และคนเหล่านี้แหละคือผู้ได้รับการนำทางจากพระเจ้า’”

แม้หัวใจจะรู้สึกปวดร้าวเพียงใดต่อการจากไปของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงสร้างคุณประโยชน์ให้แก่แผ่นดินไทยอย่างอเนกอนันต์  และเป็นที่รักของปวงชนชาวไทย   เวลาที่ผ่านไปจะค่อยๆเยียวยารักษาความรู้สึกเสียใจและเสียดายให้หมดไป   แต่อย่างไรก็ตาม การจากไปของพระองค์ต้องไม่ทำให้เราเสียสติจนลืมสืบสานเจตนารมณ์ที่พระองค์ทรงวางไว้เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนของประเทศไทย

Share:

ต่างเผ่าต่างพันธุ์ แต่เป็นมนุษย์เหมือนกัน

ต่างเผ่าต่างพันธุ์ แต่เป็นมนุษย์เหมือนกัน
บรรจง บินกาซัน
ความรู้สึกว่าเผ่าพันธุ์ของตนมีความเหนือกว่าเผ่าพันธุ์อื่นยังไม่หมดไปจากมนุษย์ ฝรั่งผิวขาวบางคนยังเชื่อว่าคนผิวขาวเป็นเผ่าพันธุ์ที่เหนือกว่าคนผิวสี (White Supremacist) ความรู้สึกเช่นนี้มีมานานนับพันปีแล้ว มันเป็นมลทินอย่างหนึ่งที่เกาะกินจิตใจของมนุษย์และศาสนาพยายามที่ขจัดหรือซักฟอกมลทินนี้ให้หมดไป เพราะมลทินนี้เองที่ทำให้มนุษย์กลุ่มหนึ่งเหยียดหยามและกดขี่คนอีกกลุ่มหนึ่ง
ฟาโรห์ไม่เพียงแต่ถือว่าตัวเขาเหนือกว่าชนชาติอิสราเอลและพลเมืองที่เขาปกครอง แต่เขายังตั้งตัวเองเป็นพระเจ้าที่ผู้อยู่ใต้การปกครองของเขาต้องเคารพสักการะ โมเสสผู้เป็นลูกหลานอิสราเอลที่ตกเป็นทาสของฟาโรห์จึงถูกพระเจ้าส่งมาบอกฟาโรห์ว่าเขาไม่ใช่พระเจ้า แต่เขาเป็นมนุษย์เหมือนกับคนอื่นที่ต้องก้มกราบสักการะพระเจ้าที่แท้จริง แต่ฟาโรห์ไม่เชื่อ เขาจึงต้องประสบความตายอย่างน่าอนาถในทะเลแดงและศพของเขาถูกเก็บรักษาไว้เพื่อเป็นหลักฐานให้มนุษย์ได้รู้ว่าชะตากรรมของคนที่โอหังตั้งตัวเองเหนือกว่ามนุษย์คนอื่นนั้นเป็นเช่นไร
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาลูกหลานอิสราเอลและเรื่องราวตอนนั้นถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์ที่พวกลูกหลานอิสราเอลนับถือ แต่เป็นเรื่องแปลกที่ต่อมาพวกลูกหลานอิสราเอลกลับสำคัญตนผิดคิดว่าเผ่าพันธุ์ของตนเองเหนือกว่ามนุษย์เผ่าพันธุ์อื่น
ในสมัยนบีมุฮัมมัด ลูกหลานอิสราเอลสามเผ่าได้อพยพลี้ภัยไปอยู่ในเมืองยัษริบ(มะดีนะฮฺ)ในทะเลทรายอาหรับและทุกคนรอคอยบุคคลที่จะมาช่วยพวกเขาเหมือนกับที่บรรพบุรุษพวกเขาวิงวอนขอต่อพระเจ้าให้มาช่วยเหลือพวกเขาให้พ้นจากความเป็นทาสของฟาโรห์ แต่เมื่อนบีมุฮัมมัดบอกพวกลูกหลานอิสราเอลว่าตัวท่านคือบุคคลที่คัมภีร์ของพวกเขากล่าวไว้ พวกลูกหลานอิสราเอลกลับไม่เชื่อและต่อต้านท่าน
เหตุผลที่พวกลูกหลานอิสราเอลปฏิเสธนบีมุฮัมมัดว่ามิใช่บุคคลที่คัมภีร์ของพวกเขากล่าวไว้ก็คือ นบีมุฮัมมัดเป็นชนชาติอาหรับที่ไร้การศึกษา ไร้ศาสนา ไร้คัมภีร์ทางศาสนาและบรรพบุรุษของนบีมุฮัมมัดไม่เคยมีนบีหรือศาสดา แต่พวกลูกหลานอิสราเอลลืมไปว่าบรรพบุรุษของนบีมุฮัมมัดคืออับราฮัมผู้เป็นบรรพบุรุษของพวกเขาเช่นกัน แม้นบีมุฮัมมัดจะแสดงหลักฐานต่างๆให้พวกลูกหลานอิสราเอลเป็นที่ประจักษ์แล้ว แต่ความอคติที่เกิดจากการเหยียดชนชาติอาหรับทำให้พวกลูกหลานอิสราเอลปฏิเสธนบีมุฮัมมัดอย่างหัวชนฝา
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมคัมภีร์กุรอานจึงได้มีการบอกเล่าเรื่องราวการสร้างอาดัมซึ่งมีกล่าวไว้แล้วในคัมภีร์โตราห์ที่พวกลูกหลานอิสราเอลนับถือ
คัมภีร์กุรอานเล่าว่าพระเจ้าสร้างอาดัมขึ้นมาจากดินและทรงเป่าวิญญาณเข้าไปในดิน ดินจึงมีชีวิตเป็นมนุษย์คนแรกที่มีชื่อว่าอาดัม เมื่อสร้างอาดัมขึ้นมาแล้ว พระองค์ได้สอนความรู้และประทานความสามารถให้แก่อาดัม หลังจากนั้น พระองค์ได้ทรงบัญชาให้ทุกสิ่งกราบแสดงความนบนอบต่ออาดัม แต่อิบลีสตัวแทนของซาตานไม่ยอมก้มกราบตามคำบัญชา โดยมันอ้างว่ามันถูกสร้างมาจากไฟ มันเหนือกว่าอาดัมเพราะอาดัมถูกสร้างมาจากดิน
ความรู้สึกว่าตัวเองมีต้นกำเนิดที่เหนือกว่านี้เองทำให้มันโอหังถึงขั้นกล้าปฏิเสธคำบัญชาพระเจ้าผู้สร้างมันขึ้นมา มันลืมไปว่าถึงแม้มันจะถูกสร้างมาจากไฟ แต่มันก็เป็นสิ่งถูกสร้างและเป็นบ่าวของพระเจ้าเหมือนกับสิ่งอื่นๆที่ต้องเชื่อฟังพระเจ้า
เรื่องราวการสร้างอาดัมถูกประทานอีกครั้งแก่นบีมุฮัมมัดก็เพื่อที่จะเหน็บแนมพวกลูกหลานอิสราเอลว่าหากมนุษย์คนใดทะนงตนถือว่าเผ่าพันธุ์ตัวเองเหนือกว่าเผ่าพันธุ์อื่น มนุษย์คนนั้นก็มีทัศนะและพฤติกรรมไม่ต่างอะไรไปจากอิบลีสหัวหน้าซาตานที่โอหังต่อพระเจ้า
ในการทำฮัจญ์ครั้งสุดท้ายตอนบั้นปลายชีวิต ท่านนบีมุฮัมมัดได้กล่าวโอวาทตักเตือนบรรดาสาวกอย่างยืดยาว ซึ่งตอนหนึ่งท่านกล่าวว่า “...พวกท่านทั้งหลาย ชาวอาหรับมิได้เหนือกว่าคนที่มิใช่อาหรับ คนที่มิใช่อาหรับก็มิได้เหนือกว่าชาวอาหรับ คนขาวมิได้เหนือกว่าคนดำและคนดำก็มิได้เหนือกว่าคนขาว นอกจากโดยความยำเกรงพระเจ้า...”
Share:

ระหว่างคับแคบกับไร้ขอบเขต

ระหว่างคับแคบกับไร้ขอบเขต
บรรจง บินกาซัน
แม้ศาสนาเกิดขึ้นมาในอดีตและคำสอนของศาสนายังคงอยู่มาถึงปัจจุบันและต้องอยู่ตลอดไปจนถึงวันสิ้นโลก แต่คำสอนของศาสนาไม่ได้ล้าสมัย ความเข้าใจและการปฏิบัติของศาสนิกผู้นับถือศาสนานั้นๆต่างหากที่ทำให้คนเข้าใจว่าศาสนาเป็นสิ่งล้าสมัย ไปกับปัจจุบันไม่ได้
หลายสิบปีก่อน ผมมีโอกาสพูดคุยกับชาวอาฟกันคนหนึ่งในตอนเหนือของปากีสถานระหว่างสำรวจเส้นทางท่องเที่ยว เขาบอกว่าเขาอยากมาเมืองไทย แต่มีอุปสรรคบางอย่าง นั่นคือเขาไม่สามารถทำหนังสือเดินทางได้ เพราะเขาต้องถ่ายรูปซึ่งศาสนาอิสลามห้าม
เขายังอ้างอีกว่าแผ่นดินบนโลกใบนี้เป็นของพระเจ้า คนในอดีตไปไหนมาไหนได้ทั่วโลกโดยไม่ต้องมีหนังสือเดินทาง แต่เดี๋ยวนี้ทำไมต้องมีหนังสือเดินทาง
ผมไม่โต้เถียงอะไรทั้งสิ้น เพราะเรื่องความเชื่อทางศาสนากับการเมือง ถ้ามันฝังอยู่ในใจคนแล้ว ยากที่จะขุด จึงได้แต่คิดอยู่ในใจว่าถ้าคิดอย่างนี้ก็อยู่ตรงนั้นไปเถิด อย่าได้ไปเห็นแผ่นดินอื่นๆที่พระเจ้าได้สร้างไว้อย่างสวยงามเลย
ถามว่าในคำสอนของอิสลามมีข้อห้ามเรื่องทำรูปที่เป็นทั้งรูปวาดและรูปปั้นไหม คำตอบคือมี ไม่ใช่เฉพาะอิสลามเท่านั้น ข้อห้ามทำรูปโดยเฉพาะรูปปั้นก็มีอยู่ในคัมภีร์ไบเบิล
เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังข้อห้ามก็เพราะศาสนากลัวว่าเมื่อมนุษย์วาดภาพหรือทำรูปปั้นขึ้นมาแล้ว มนุษย์จะให้ความสำคัญแก่รูปวาดและรูปปั้นที่มนุษย์ทำขึ้นมาจนถึงกับบูชาสักการะรูปเหล่านั้นควบคู่ไปกับพระเจ้าหรือแทนพระเจ้าซึ่งถือเป็นบาปใหญ่ที่สุดในศาสนาที่ศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว
การวาดภาพหรือปั้นรูปสิ่งที่มองไม่เห็นบางอย่างเช่นทูตสวรรค์เกิดขึ้นมานานก่อนหน้าสมัยอิสลาม ในโบสถ์ฮาเกียโซเฟีย ประเทศตุรกี มีภาพวาดพระนางมารีย์และพระเยซูในตอนเกิดอยู่บนผนัง ข้างบนโดมภายในตรงกลางมีภาพวาดทูตสวรรค์อยู่
ชาวอาหรับเคยนำรูปเคารพนับร้อยมาตั้งไว้รอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺเพื่อการบูชาสักการะ ไม่เพียงเท่านั้น บนผนังก๊ะอฺบ๊ะฮฺ ชาวอาหรับยังวาดรูปนบีอิบรอฮีมและอิสมาอีลถือธนูเสี่ยงทายไว้อีกด้วย เมื่อนบีมุฮัมมัดพิชิตมักก๊ะฮฺ ท่านได้สั่งให้ลบรูปวาดนั้นและบอกผู้คนว่าชาวอาหรับรู้ดีว่านบีอิบรอฮีมและลูกชายของท่านไม่เคยทำเช่นนั้น และสั่งให้ทำลายรูปวาดและรูปเคารพทั้งหมด
หลังจากนั้น ท่านได้ออกคำสั่งห้ามมุสลิมวาดรูปและทำรูปปั้น นับแต่นั้น มุสลิมจึงไม่มีรูปภาพหรือรูปปั้นพระเจ้าไว้สักการะ อย่าว่าแต่รูปพระเจ้าเลย แม้แต่รูปนบีมุฮัมมัดก็ยังไม่มี
อย่างไรก็ตาม หลังสมัยนบีมุฮัมมัด เมื่อโลกอิสลามเจริญรุ่งเรือง นักวิชาการมุสลิมบางคน เช่น อิบนุสินา ที่โลกตะวันตกตกยกย่องเป็นบิดาทางการแพทย์ได้วาดภาพกายวิภาคของมนุษย์และสัตว์เพื่ออธิบายถึงตำแหน่งและการทำงานของอวัยวะต่างๆซึ่งจำเป็นสำหรับการถ่ายทอดความรู้ ถ้าอิบนุสินาตีความคำสอนเรื่องห้ามวาดรูปอย่างเถรตรง เขาคงไม่สามารถทำตำราถ่ายทอดวิชาการแพทย์ให้ชาวตะวันตกนำไปใช้เรียนจนเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติจนถึงทุกวันนี้ได้
ถ้าห้ามเรียนวาดภาพ เราก็คงเสียประโยชน์จากการมีคนสเก็ตภาพคนร้ายเพื่อตามจับอาชญากร ไม่มีคนวาดภาพเพื่อถ่ายทอดการแต่งกายและวิถีชีวิตของผู้คนในอดีตให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้กัน
ยิ่งในปัจจุบันที่มีกล้องถ่ายรูปและกล้องบันทึกภาพเคลื่อนไหว ถ้าตีความคำสั่งห้ามการทำรูปตามตัวอักษร การถ่ายรูปหรือการถ่ายภาพยนตร์ก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน
เมื่อโลกตะวันตกฉีกตัวออกจากศาสนาและเจริญก้าวหน้าหลังยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ ศิลปะการวาดภาพในโลกตะวันตกก็เริ่มไม่มีขอบเขตจำกัดทางศีลธรรม ภาพวาดและภาพปั้นหญิงเปลือยกายในท่าทางต่างๆถูกทำขึ้นมาเผยแพร่ในที่สาธารณะ สถาบันการศึกษาถือคติตามฝรั่งว่ามนุษย์เป็นสิ่งที่สวยงามที่สุดในบรรดาสิ่งถูกสร้างของพระเจ้า ดังนั้น การวาดภาพผู้หญิงเปลือยกายจึงถูกบรรจุไว้ในหลักสูตรการเรียนศิลปะวาดภาพ และกิจกรรมการประกวดเรือนร่างของผู้หญิงถูกจัดขึ้นมาในรูปแบบต่างๆจนเป็นที่แพร่หลาย
การตีความคำสอนของศาสนาด้วยความคิดอันคับแคบของหนุ่มชาวอาฟกันอาจทำให้เขาลำบากในการปรับตัวเข้ากับความเจริญของโลกยุคปัจจุบัน แต่การวาดภาพหรือการทำรูปปั้นของชาวตะวันตกอย่างไม่มีขอบเขตทางศีลธรรมนั้นสร้างความเสียหายให้แก่มนุษย์ในโลกที่กำลังเจริญทางวัตถุอย่างมากมายหลายพันเท่า
อิสลามอยู่ตรงกลางระหว่างสองขั้วนี้ คือไม่คับแคบ แต่ก็ไม่เปิดกว้างจนไร้ขอบเขต
Share:

EP.4 | นบีลูฎ นบีอิสมาอีล และนบีอิสหาก


เข้าใจกุรอานผ่านเรื่องราวของบรรดานบี EP.4 | นบีลูฎ นบีอิสมาอีล และนบีอิสหาก - แต่ท่านล้วนมีแบบอย่างที่ดีงามมากมาย และมีบทเรียนมากมายให้เราได้ใคร่ครวญ
 ---------------------------------------------------------------------------------------------------- 
ท่านใด ที่สนใจ หรือต้องการศึกษา หรือ ติดตามข่าวสาร ของโครงการอบรมผู้สนใจอิสลาม มูลนิธิสันติชน 

เทปการบรรยายนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ยินดีอย่างมากเพื่อการเผยแพร่ ดีวีดีการบรรยายทั้งหมดมีจำหน่ายที่โครงกา­รอบรมผู้สนใจอิสลาม

ข้อมูลจาก : http://www.knowislamthailand.org
Share:

ริษยาทำปัญญาสูญ

ริษยาทำปัญญาสูญ
บรรจง บินกาซัน

เรื่องราวในคัมภีร์กุรอานมิใช่นิยายปรัมปราที่ถูกเล่าเพื่อความสนุกสนานหรือเพื่อมอมเมาให้ผู้คนหลงใหล แต่มันเป็นสัจธรรมความจริงที่มีวัตถุประสงค์เพื่อถ่ายทอดคุณสมบัติอันดีงามและลักษณะทางธรรมชาติที่ไม่ดีของมนุษย์ ทั้งนี้เพื่อที่มนุษย์จะได้นำไปตรึกตรองเป็นบทเรียนสำหรับการดำเนินชีวิต คนที่มีสติปัญญาเท่านั้นจึงสามารถเข้าถึงแก่นธรรมและนำไปเป็นบทเรียนของชีวิต

เมื่ออาดัมและฮาวาถูกส่งมายังโลกนี้ ทั้งสองได้ให้กำเนิดบุตรมากมายหลายคนเพื่อแพร่ขยายเผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติ ในจำนวนนั้น คนหนึ่งชื่อกอบีลและอีกคนหนึ่งชื่อฮาบีล สองคนนี้มีน้องสาวคู่แฝด เมื่อพระเจ้าต้องการให้เผ่าพันธุ์มนุษย์แพร่ขยายบนหน้าแผ่นดิน พระองค์ได้บัญชาอาดัมให้จัดการแต่งงานกอบีลกับน้องสาวของฮาบีลและให้ฮาบีลแต่งงานกับน้องสาวของกอบีล แต่กอบีลปฏิเสธและต้องการแต่งงานกับน้องสาวคู่แฝดของตัวเองที่สวยกว่าน้องสาวของฮาบีล ส่วนฮาบีลนั้นยอมทุกอย่าง

เมื่ออาดัมทำตามคำบัญชาของพระเจ้า แต่ลูกคนหนึ่งไม่ยอม อาดัมจึงบอกลูกทั้งสองว่าเรื่องนี้เป็นบัญชาของพระเจ้า ถ้าไม่เชื่อก็ให้พระเจ้าตัดสินโดยอาดัมได้ให้ลูกชายทั้งสองคนนำอะไรบางอย่างไปพลีถวายต่อพระเจ้าเพื่อขอคำตัดสิน แล้วดูว่าพระเจ้าจะรับสิ่งพลีถวายของใคร

กอบีลเอาข้าวโพดแห้งๆไปพลีถวายพระเจ้า ส่วนฮาบีลเอาแกะอ้วนไปพลีถวายโดยวางไว้กลางแจ้ง ผลปรากฏว่าสายฟ้าได้ฟาดลงมาบนสิ่งพลีที่ฮาบีลนำไปพลีถวายซึ่งเป็นสัญญาณตัดสินว่าพระเจ้ายอมรับการพลีถวายของฮาบีล แต่กระนั้นก็ตาม กอบีลก็ยังไม่ยอมและขู่ฆ่าฮาบีลน้องชายของเขาเพื่อจะแต่งงานกับน้องสาวของตัวเองซึ่งเป็นการขัดขืนคำสั่งของพระเจ้า

แต่ฮาบีลกล่าวว่า “พระเจ้าทรงรับสิ่งพลีจากผู้สำรวมตนจากความชั่วเท่านั้น ถ้าพี่คิดจะฆ่าฉัน ฉันจะไม่ยกมือของฉันเพื่อฆ่าพี่เพราะฉันเกรงกลัวพระเจ้า ฉันอยากจะให้พี่รับภาระบาปของฉันและบาปของพี่ด้วย พี่จะได้กลายเป็นชาวนรก และนั่นคือการตอบแทนสำหรับผู้อธรรม”

ในที่สุด กอบีลได้ฆ่าฮาบีลเพราะแรงริษยาและไม่ยอมรับการตัดสินของพระเจ้า

เรื่องราวดังกล่าวในคัมภีร์กุรอานทำให้เราได้รับความรู้และบทเรียนหลายประการ

ประการแรก คัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอานยืนยันตรงกันตลอดกาลว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์และมนุษย์มิได้เกิดจากการวิวัฒนาการตามทฤษฎีของชาร์ลส ดาร์วินที่ถูกการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ลบล้างไปแล้ว

ประการที่สอง ฆาตกรรมครั้งแรกเกิดขึ้นบนโลกใบนี้เพราะแรงริษยาที่เริ่มต้นมาจากความต้องการและค่อยๆพัฒนาเป็นความอิจฉาอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์และเป็นแรงผลักดันให้มนุษย์แสวงหาสิ่งที่ตัวเองต้องการ

แต่เมื่อตัวเองไม่ได้หรือไม่มีในสิ่งที่คนอื่นมีแล้วไม่พอใจที่คนอื่นได้รับสิ่งนั้นและต้องการได้สิ่งนั้นมาเป็นของตัวเอง ความริษยาก็บังเกิดขึ้นและผลักดันตัวตนฝ่ายชั่วให้ลงมือทำทุกอย่างเพื่อได้สิ่งที่คนอื่นมีมาเป็นของตนเองไม่ว่าจะโดยวิธีใดก็ตาม

ความจริงแล้ว ความริษยาคือความไม่พอใจในพระประสงค์ของพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมาแม้กระทั่งชีวิตของมนุษย์ คนที่ริษยาลืมคิดไปว่าไม่มีมนุษย์คนใดได้รับอะไรทุกอย่างตามที่ตัวเองต้องการ ต่อให้มีเงินทองและอำนาจมากมายเพียงใดก็ตาม เหตุผลที่พระเจ้าให้มนุษย์ไม่เหมือนกันและไม่เท่ากันก็เพื่อที่มนุษย์จะได้พึ่งพาอาศัยกันและกัน ถ้ามนุษย์สำรวจตัวเอง มนุษย์จะพบว่าพระเจ้าให้มนุษย์มากพอที่จะอยู่ได้ และสิ่งที่พระเจ้าไม่ให้มนุษย์นั้นมีเพียงนิดเดียวซึ่งหากไม่มีมัน เขาก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้

คัมภีร์กุรอานเล่าต่อไปว่าเมื่อกอบีลฆ่าฮาบีลแล้ว เขาไม่รู้ว่าจะจัดการกับศพของฮาบีลอย่างไร จนกระทั่งพระเจ้าส่งอีกาสองตัวมาจิกตีกันจนตัวหนึ่งตาย อีกาที่รอดชีวิตได้ใช้เท้าขุดดินและเขี่ยอีกาที่ตายลงหลุมแล้วใช้เท้าเขี่ยดินกลบ เมื่อเห็นเช่นนั้น กอบีลจึงสำนึกว่าความริษยาได้บดบังสติปัญญาของเขาและเขาตรอมใจในสิ่งที่เขาได้ทำไปกับน้องชายของตัวเอง

ความพอใจในสิ่งที่พระเจ้าประทานให้จึงเป็นภูมิปัญญาที่ชาญฉลาดโดยไม่ต้องเรียนสูง แต่ความริษยาเป็นสิ่งที่ทำให้ปัญญาสูญ



ข้อมูลจาก :   https://www.facebook.com/Banjong.Binkason/
Share:

ประวัติศาสตร์อิสลามครั้งที่01(พื้นฐานประวัติศาสตร์อิสลาม)


พื้นฐานประวัติศาสตร์อิสลามเทป01
บันทึกวันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน 2554

โดย อ.บรรจง บินกาซัน รร.รีเจนท์ รามคำแหง

จุดประสงค์เพื่อเผยแพ่อิสลามในแง่มุมด้านประวัติศาสตร์อิสลาม นับตั้งแต่ก่อนมนุษย์ลงมาบนโลกใบนี้ ไปจนถึงยุคสุดท้ายคือยุคนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เนื้อหาโดยย่อ…
ประวัติศาสตร์คือการสืบค้นเรื่องราวในอดีตจากเอกสารหรือวัตถุ ภาษาอาหรับใช้คำทั่วไปว่า تَاريخ คัมภีร์กุรอานใช้คำว่า اَيام الله “วันของอัลลอฮฺ” เป็นการศึกษาประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่มีช่วงเวลายาวกว่าประวัติศาสตร์ในความหมายทั่วไป คัมภีร์ คือ วจนะของอัลลอฮฺที่มีมายังมนุษยชาติผ่านทางบรรดานบีและถูกบันทึกไว้เป็นรูปเล่ม คัมภีร์เตารอต (Torah) ถูกประทานแก่นบีมูซา (โมเสส) คัมภีร์ษะบูรฺ (Psalms) ถูกประทานแก่นบีดาวูด (ดาวิด) คัมภีร์อินญีล (Gospels) ถูกประทานแก่นบีอีซา (พระเยซู) คัมภีร์กุรอาน (Quran) ถูกประทานแก่นบีมุฮัมมัดในช่วงเวลา 23 ปี แห่งการเป็นศาสนทูต

สาระของคัมภีร์กุรอานประกอบด้วย 1. เรื่องความศรัทธาในสิ่งเร้นลับ เช่น พระเจ้า นรก สวรรค์ 2. เรื่องสิ่งอนุมัติ(ฮะลาล)และสิ่งต้องห้าม(ฮะรอม) 3. เรื่องข้อกฎหมายที่ชัดเจน 4. เรื่องที่ยังสามารถอธิบายและให้ความเห็นได้ 5. เรื่องข่าวดีสำหรับคนทำดีและข่าวร้ายสำหรับคนทำชั่ว 6. เรื่องประวัติศาสตร์ 7. การตักเตือนมนุษย์ 8. ข้อเปรียบเทียบและอุทาหรณ์
ประวัติศาสตร์อิสลามสามารถแบ่งออกเป็นช่วงๆได้ดังนี้ 1. ประวัติศาสตร์ของบรรดานบีก่อนหน้าท่านนบีมุฮัมมัด 2. ประวัติศาสตร์ของท่านนบีมุฮัมมัด 3. ประวัติศาสตร์ของเคาะลีฟะฮฺผู้ได้รับทางนำทั้งสี่ 4. ประวัติศาสตร์ราชวงศ์ต่างๆหลังสมัยเคาะลีฟะฮฺ
บทบาทและความสำคัญของประวัติศาสตร์ในอิสลาม 1. ถูกนำมาใช้เพื่อเรียกร้องสู่การศรัทธาในอัลลอฮฺ 2. เป็นสัญญาณ (อายะฮฺ) ของอัลลอฮฺและสิ่งมหัศจรรย์ของนบี 3. เป็นบทเรียนสำหรับเตือนมนุษยชาติ 4. การศึกษาอิสลามคือการศึกษาประวัติศาสตร์ของบรรดานบี
ประเด็นศึกษา 1. ภูมิหลังของการประทานอายะฮฺกุรอาน 2. บทเรียนและข้อคิดที่ได้จากประวัติศาสตร์
Share:

EP.3 | นบีอิบรอฮีม


เข้าใจกุรอานผ่านเรื่องราวของบรรดานบี EP.3 | นบีอิบรอฮีม
– ผู้ที่ได้ฉายาว่ามิตรสหายของอัลลอฮฺ บิดาของบรรดาศาสทูต ผู้สร้างอัลก๊ะบ๊ะฮฺ และแบบอย่างแห่งการเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า

ข้อมูลจาก : http://www.knowislamthailand.org
Share:

ที่มาของฮิจญ์เราะฮฺศักราช

ที่มาของฮิจญ์เราะฮฺศักราช
บรรจง บินกาซัน

วันนี้ 22 กันยายน พ.ศ.2560 ตรงกับวันที่ 1 เดือนมุฮัรฺร็อม ฮ.ศ.1439 วันปีใหม่ตามปฏิทินอิสลาม แต่มุสลิมทั่วโลกผ่านวันขึ้นปีใหม่ของตนไปโดยมิได้มีการจัดงานเคานต์ดาวหรือจุดพลุเฉลิมฉลองแต่ประการใด เพราะมุสลิมถือว่าวันที่ 1 ของทุกเดือนในรอบปีเป็นเพียงวันที่บอกว่าเวลาของเราได้หมดไปอีกหนึ่งเดือนแล้วเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ชาวมุสลิมมีวันสำคัญที่จะเฉลิมฉลองกันในบางเดือนของทุกปี นั่นคือ วันอีดุลฟิฏร์ซึ่งเป็นวันเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสการสิ้นสุดการถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอน(เดือนที่ 9)และวันอีดุลอัฎฮาซึ่งเป็นวันแห่งการทำพิธีฮัจญ์ของมุสลิมทั่วโลกในเดือนซุลฮิจญะฮฺ เดือนสุดท้ายของปี
ในคัมภีร์กุรอาน 9: 36 ระบุว่า “จำนวนเดือนที่อัลลอฮฺได้ทรงกำหนดไว้นั้นมีสิบสองเดือนตั้งแต่เมื่อตอนที่พระองค์ได้ทรงสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดิน และในจำนวนนี้มีสี่เดือนต้องห้าม นี่คือหลักในการนับที่ถูกต้อง......”
ดังนั้น มนุษย์จึงแบ่งเวลาหนึ่งปีออกเป็นสิบสองเดือนมาตั้งแต่อดีตกาลแล้ว แต่การแบ่งเดือนในแต่ละปีมีวิธีต่างกัน ระบบสุริยคติใช้การโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์เป็นเกณฑ์กำหนดหนึ่งปี ส่วนระบบจันทรคติใช้การโคจรของดวงจันทร์รอบโลกนับเป็นหนึ่งเดือนและนับไป 12 เดือนเป็นหนึ่งปี เดือนส่วนใหญ่ในปฏิทินจันทรคติจะมี 29 วัน ดังนั้น วันในปฏิทินจันทรคติจะมี 354 วันเศษๆซึ่งน้อยกว่าปฏิทินสุริยคติ 10 -11 วัน
ความแตกต่างอีกอย่างหนึ่งระหว่างปฏิทินสุริยคติกับปฏิทินจันทรคติก็คือ ปฏิทินในระบบสุริยคติเริ่มต้นวันใหม่หลังเที่ยงคืน แต่ปฏิทินระบบจันทรคติของอิสลามเริ่มต้นวันใหม่เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า
คัมภีร์กุรอานยังกล่าวอีกว่าในจำนวน 12 เดือนนี้มีเดือนต้องห้ามอยู่สี่เดือน นั่นคือเดือนที่ 1, 7, 11 และ 12 ในสังคมชาวอาหรับก่อนสมัยอิสลามได้กำหนดประเพณีไว้อย่างหนึ่งว่าในเดือนดังกล่าวห้ามทุกเผ่าทำสงคราม ทั้งนี้เพราะเดือนที่ 12 (เดือนซุลฮิจญะฮฺ) ของทุกปีเป็นเดือนแห่งการทำพิธีฮัจญ์ เดือนที่ 11 (เดือนซุลเกาะด๊ะฮฺ) เป็นเดือนแห่งการเดินทางมาและเดือนที่ 1 (เดือนมุฮัรฺร็อม)เป็นเดือนแห่งการเดินทางกลับ ดังนั้น ชาวอาหรับทุกคนต้องให้เกียรติแก่ผู้เดินทางมาทำพิธีฮัจญ์ และที่สำคัญก็คือความปลอดภัยในช่วงเดือนต้องห้ามจะทำให้ชาวอาหรับทุกเผ่าต่างได้รับผลประโยชน์จากการทำการค้า
แม้สังคมชาวอาหรับสมัยก่อนหน้าอิสลามมีการกำหนดวันและเดือนต่างๆแล้วก็ตาม แต่ชาวอาหรับก็ยังไม่มีปฏิทินที่บอกว่าเป็นศักราชที่เท่าใด การนับปีจะอ้างอิงเหตุการณ์สำคัญๆที่เกิดขึ้นในอดีต เช่น นบีมุฮัมมัดเกิดในวันจันทร์ เดือนเราะบีอุลเอาวัล ปีช้าง ทั้งนี้เนื่องจากในปีที่นบีมุฮัมมัดถือกำเนิดเป็นปีที่มีกองทัพช้างจากเยเมนได้บุกเข้ามายังมักก๊ะฮฺ ชาวอาหรับจึงถือว่าปีนั้นเป็นปีเกิดเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ในความทรงจำของพวกตน

เมื่อนบีมุฮัมมัดอพยพจากมักก๊ะฮฺไปที่มะดีนะฮฺใน ค.ศ.622 ท่านพบว่าชาวบนีอิสรออีลที่นั่นถือศีลอดในวันที่ 10 เดือนมุฮัรฺร็อม (วันอาชูรอ) ท่านจึงได้ถามคนกลุ่มนี้ถึงเหตุผลในการถือศีลอดในวันนั้น ชาวบนีอิสรออีลตอบท่านว่า “มันเป็นวันดีวันหนึ่ง” (วันที่โมเสสช่วยชาวยิวให้รอดพ้นจากฟาโรห์)นบีมุฮัมมัดจึงบอกชาวยิวว่า “เราใกล้ชิดโมเสสมากกว่าพวกท่านเสียอีก”
ในเวลานั้น คำบัญชาเรื่องการถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอนยังไม่ได้ถูกประทานมา นบีมุฮัมมัดได้ถือศีลอดในวันนั้นตามชาวบนีอิสรออีลและท่านได้สั่งมุสลิมในมะดีนะฮฺให้ถือศีลอดตามแบบชาวบนีอิสรออีล เพราะท่านถือว่าโมเสสเป็นนบีของพระเจ้า ท่านจึงปฏิบัติตาม
ในปีถัดมา นบีมุฮัมมัดได้รับคำบัญชาให้ถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอน การถือศีลอดในวันที่ 10 เดือนมุฮัรฺร็อมจึงเป็นสิ่งที่มุสลิมสามารถเลือกปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติก็ได้ตามความสมัครใจ ไม่ใช่ข้อบังคับเหมือนกับการถือศีลอดในเดือนเราะฎอน
ในสมัยของนบีมุฮัมมัด มุสลิมยังไม่มีศักราชของตนเอง หลังสมัยนบีมุฮัมมัด ใน ค.ศ.638 ซึ่งเป็นสมัยการปกครองของเคาะลีฟะฮฺอุมัรฺ อาณาเขตของรัฐอิสลามขยายกว้างออกไป อบูมูซา อัชอะรีย์ เจ้าหน้าที่ปกครองของอุมัรฺในเมืองบัศเราะฮฺในประเทศอิรักได้ร้องเรียนว่าจดหมายที่เขาได้รับจากอุมัรฺไม่ได้ระบุปีไว้ ทำให้เขาไม่อาจจำได้ว่าจดหมายฉบับใดเป็นฉบับล่าสุด ดังนั้น เคาะลีฟะฮฺอุมัรฺจึงเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่มุสลิมต้องมีการกำหนดศักราชของตนเอง
หลังจากปรึกษาหารือกับผู้อาวุโส อุมัรฺก็ตัดสินใจว่าศักราชของอิสลามควรเริ่มต้นตั้งแต่ปีที่นบีมุฮัมมัดอพยพมาถึงเมืองมะดีนะฮฺ อุษมาน บินอัฟฟาน สาวกผู้อาวุโสคนหนึ่งแนะนำว่าปฏิทินอิสลามควรเริ่มต้นด้วยเดือนมุฮัรฺร็อมตามประเพณีของชาวอาหรับแม้ในความเป็นจริงแล้ว นบีมุฮัมมัดอพยพมาถึงเมืองมะดีนะฮฺในเดือนถัดจากนั้นก็ตาม นับแต่นั้นมา ศักราชของอิสลามจึงเริ่มต้นและถูกเรียกว่า “ฮิจญ์เราะฮฺศักราช” เพราะฮิจญ์เราะฮฺหมายถึงการอพยพ
แม้มุสลิมทั่วโลกไม่เฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ตามปฏิทินฮิจญ์เราะฮฺศักราช แต่ในวันที่ 9 และ 10 ของเดือนมุฮัรฺร็อม ประชาคมมุสลิมซุนนีส่วนใหญ่จะมีประเพณีปฏิบัติร่วมกันอย่างหนึ่ง นั่นคือการถือศีลอดด้วยความสมัครใจ บางชุมชนเชื่อว่าวันที่ 10 เดือนมุฮัรฺร็อมเป็นวันที่เรือของโนอาห์(นบีนูฮฺ)ได้เกยตื้นบนภูเขาญูดีและโนอาห์ได้เอาเมล็ดธัญพืชทั้งหมดที่เหลืออยู่ในเรือมากวนเป็นอาหารแจกผู้ที่เหลือรอดชีวิต จึงได้จัดประเพณีกวนเมล็ดธัญพืชที่เรียกว่า “บูโบอาชูรอ” เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าว
ส่วนชุมชนชาวชีอะฮ์จะจัดพิธีอาลัยอาวรณ์ถึงการจากไปของอิมามฮุเซนหลานของนบีมุฮัมมัด
Share:

EP.2 | ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับบรรดานบี


เข้าใจกุรอานผ่านเรื่องราวของบรรดานบี EP.2 | ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับบรรดานบี – มีความเข้าใจในเรื่องของนบี และรอซูล ทราบถึงความสำคัญ คุณสมบัติ และเชื่อสายของบรรดานบีต่างๆ

ข้อมูลจาก  : http://www.knowislamthailand.org/
Share:

EP.1 | ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับคัมภีร์กุรอาน


เข้าใจกุรอานผ่านเรื่องราวของบรรดานบี EP.1 | ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับคัมภีร์กุรอาน
– อาจารย์บรรจง บินกาซัน ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับข้อมูลที่จำเป็นต้องรู้ของ คัมภีร์กุรอาน อธิบายความแตกต่างของคัมภีร์ก่อนหน้านี้ รายละเอียดเรื่องซูเราะฮฺ สาระของคัมภีร์กุรอาน และรายละเอียดอีกมากมาย
ข้อมูลจาก : http://www.knowislamthailand.org/understand-the-quran/knowledge-of-the-quran/

Share:

อีดุลอัฎฮาที่สตูล

บรรจง บินกาซัน
สตูลเป็นจังหวัดเล็กๆที่มีเสน่ห์และสงบริมชายฝั่งทะเลอันดามัน เนื่องจากในอดีตเคยเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของไทรบุรีที่ถูกแยกออกไปเป็นรัฐเคดาห์ของมาเลเซีย ผู้คนบางส่วนจึงสามารถสื่อสารด้วยภาษามลายูได้ แต่ผู้คนส่วนใหญ่มักพูดภาษาไทยกลางและประชาชนไม่ต่ำกว่า 60% ในจังหวัดสตูลเป็นมุสลิม

ในช่วงปีกว่าๆที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปสัมผัสบรรยากาศเฉลิมฉลองวันเทศกาลสำคัญของศาสนาอิสลามที่จังหวัดสตูลถึงสองครั้ง คือเทศกาลวันอีดุลฟิฏร์และวันอีดุลอัลฎฮา จึงอยากนำมาถ่ายทอดให้ท่านผู้อ่านได้รับรู้และเผื่อว่าชุมชนมุสลิมจะนำไปทำตามก็ถือว่าเป็นเรื่องดี
ในเทศกาลอีดุลฟิฏร์ซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองการสิ้นสุดเดือนถือศีลอดเมื่อปีที่แล้ว กลุ่มนักธุรกิจเอกชนมุสลิม ร้านค้าและหน่วยงานราชการในอำเภอเมืองได้ร่วมกันเปิดซุ้มอาหารคาวหวานและเครื่องดื่มประมาณ 300 ซุ้มบนถนนหน้ามัสยิดมัมบังเลี้ยงคนทั่วไปไม่เฉพาะมุสลิมได้กินกันเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการสิ้นสุดเดือนรอมฎอน บนเวทีของงานฉลองมีการแสดงทางวัฒนธรรมและการบรรยายให้ความรู้แก่ผู้มาร่วมฉลองในงาน งานฉลองเป็นไปอย่างครึกครื้น ไม่มีการทะเลาะวิวาทต่อยตีกันเพราะไม่มีสุราและมหรสพในงาน

มาในปีนี้ เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปร่วมฉลองเทศกาลวันอีดุลอัฎฮาซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองให้พี่น้องมุสลิมทั่วโลกที่มีโอกาสไปทำพิธีฮัจญ์ที่เมืองมักก๊ะฮฺ แต่งานเฉลิมฉลองวันอีดุลอัฎฮาคราวนี้ต่างไปจากงานฉลองวันอีดุลฟิฏร์
ผู้จัดงานครั้งนี้มีแนวความคิดว่าในวันอีดุลอัฎฮา มุสลิมจากทั่วโลกไปชุมนุมกันที่เมืองมักก๊ะฮฺ ดังนั้น มุสลิมในตัวเมืองสตูลก็ควรมารวมตัวกันฉลองกันที่ใดที่หนึ่ง ด้วยเหตุนี้ ผู้จัดงานจึงเลือกเอาลานกว้างหน้าสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสตูลเป็นสถานที่จัดงานโดยมีบรรยากาศแบบครอบครัว ผมถูกเชิญให้ไปเป็นส่วนหนึ่งในงานนี้ด้วย
งานนี้จัดบรรยากาศแบบเลี้ยงดูปูเสื่อ คือผู้จัดงานได้เอาเสื่อมาปูในลานกว้างเพื่อให้ผู้คนพาครอบครัวนำอาหารมาแบ่งกันกินบนพื้นหน้าเวที ถ้าใครมามือเปล่า ภายในงานก็มีซุ้มอาหารที่จัดเตรียมไว้อย่างเหลือเฟือ แต่อาหารที่จัดเลี้ยงในงานครั้งนี้ต่างไปจากอาหารในงานฉลองครั้งที่แล้ว เพราะอาหารส่วนใหญ่ทำมาจากเนื้อกุรฺบานที่พี่น้องมุสลิมจากที่ต่างๆบริจาคมาให้ทำเป็นอาหารสารพัดเมนู
เนื้อกุรฺบานเป็นเนื้อแพะหรือแกะหรือวัวที่ถูกเชือดพลีในเทศกาลอีดุลอัฎฮาเพื่อเป็นการระลึกถึงวีรกรรมแห่งความศรัทธาอันแน่วแน่ของนบีอิบรอฮีมที่มีต่อพระเจ้าจนถึงขึ้นยอมเชือดพลีอิสมาอีลบุตรคนแรกให้แก่พระเจ้าที่ต้องการทดสอบความศรัทธา แต่ก่อนจะลงมีดเชือด พระเจ้าได้สั่งให้นบีอิบรอฮีมเอาแกะหรือแพะมาเชือดแทน พิธีการเชือดสัตว์พลีจึงเป็นส่วนหนึ่งของพิธีฮัจญ์ซึ่งคนที่ไม่ได้ไปทำฮัจญ์สามารถมีส่วนร่วมได้

คำว่า “กุรฺบาน” หมายถึงการเข้าใกล้ การเชือดสัตว์พลีเนื่องในเทศกาลอีดุลอัฎฮาจึงเป็นการเข้าใกล้พระเจ้าด้วยการเสียสละแกะหรือแพะหรือวัวเพื่อเอาเนื้อไปกินและแจกจ่ายแก่ผู้คน เนื้อของสัตว์ที่ถูกเชือดเป็นกุรฺบานจะถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนหนึ่งเป็นของเจ้าของ อีกส่วนหนึ่งแจกจ่ายให้ญาติมิตรและอีกส่วนหนึ่งแจกจ่ายให้แก่คนยากจน แต่ส่วนใหญ่แล้ว เนื้อกุรฺบานจะถูกนำไปแจกจ่ายแก่คนยากจน
ผมรู้สึกทึ่งและชื่นชมในแนวความคิดของผู้จัดงานครั้งนี้ที่รณรงค์ให้มุสลิมออมเงินสัปดาห์ละ 100 บาทเพื่อเอาไว้ทำกุรฺบาน เก็บทุกสัปดาห์ตลอดทั้งปีก็ได้เงินห้าพันกว่าบาทซึ่งสามารถทำกุรฺบานในปีหน้าได้อย่างสบายๆ ถ้าการรณรงค์ได้รับการตอบสนอง ผู้ที่จะได้รับผลดีตามมาก็คือผู้เลี้ยงปศุสัตว์ที่จะต้องขยายและบำรุงพันธุ์สัตว์ของตนให้เป็นที่ต้องการ เพราะแพะแกะหรือวัวที่จะนำไปทำกุรฺบานต้องสุขภาพดี อ้วนท้วนสมบูรณ์ ไม่มีตำหนิหรือพิการ
ในออสเตรเลียและในประเทศยุโรปที่มีอุปสรรคเรื่องการเชือดสัตว์ มุสลิมในประเทศเหล่านั้นได้ส่งเงินไปยังชุมชนในประเทศมุสลิมที่ยากจนเพื่อซื้อปศุสัตว์ทำกุรฺบานและแจกจ่ายเนื้อแก่ผู้คนในประเทศนั้นได้กินกัน
นี่เป็นหนึ่งในคุณานุประโยชน์จากพิธีฮัจญ์ที่คัมภีร์กุรอานได้กล่าวไว้

ข้อมูลจาก Facebook : Banjong Binkason
Share:

ฮะดีษ : ความประเสริฐของการซิกรุลลอฮฺ


จาก  อบูฮุร็อยเราะฮฺ :  ท่านรอซูลุลลอฮฺ  กล่าวว่า
"ใครที่กล่าว  "ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ วะฮฺดะฮู ลาชะรีกะละฮฺ  ละฮุ้ลมุ้ลกุ้ วะละฮุลฮัมดุ  วะฮุวะอะลา กุลลิชัยอิน เกาะดัรฺ"  หนึ่งร้อยครั้ง  จะได้รับรางวัลตอบแทนเหมือนกับรางวัลตอบแทนที่ได้จากการปลดปล่อยทาสสิบคน 

และในบัญชีของเขาจะถูกบันทึกไว้หนึ่งร้อยความดี
และหนึ่งร้อยบาปจะถูกลบไปจากบัญชีของเขา 

และมัน (การกล่าวของเขา)  จะเป็นโล่ห์ป้องกันชัยฏอนให้เขาในวันนั้นจนถึงกลางคืน  และจะไม่มีใครสามารถทำการงานที่ดีกว่าได้  นอกจากคนที่ทำมากกว่าเขา"


(บันทึกโดย  บุคอรี)


จากห้องเรียน อ.บรรจง บินกาซัน
ศูนย์อบรมศาสนาและจริยธรรม มัสยิดต้นสน
วันเสาร์ที่  14 ตุลาคม 2560


Share:

ฮะดีษ : สิ่งที่ท่านคุ้มครองต่ออัลลอฮฺนบีขอความ

จาก  มุศอับ  :  ซะห์ เคยแนะนำ ห้า คำพูด และกล่าวว่า ท่านนบีเคยแนะนำเช่นนั้น (นั่นคือ)


"โอ้อัลลอฮฺ ฉันขอความคุ้มครองต่อพระองค์
ให้พ้นจากความขี้เหนียว

และฉันขอความคุ้มครองต่อพระองค์
ให้พ้นจากความขี้ขลาด

และฉันขอความคุ้มครองต่อพระองค์
ให้พ้นจากการถูกส่งกลับไปสู่วัยชราที่แก่หง่อม

และฉันขอความคุ้มครองต่อพระองค์
ให้พ้นจากฟิตนะฮฺ (การทดสอบและเคราะห์กรรม) ของโลกนี้ (นั่นคือ ฟิตนะฮฺของดัจญาล  เป็นต้น)

และฉันขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺ
ให้พ้นจากการลงโทษในหลุมฝังศพ"

(บันทึกโดย  บุคอรี)


จากห้องเรียน อ.บรรจง บินกาซัน
ศูนย์อบรมศาสนาและจริยธรรม มัสยิดต้นสน
วันเสาร์ที่  14 ตุลาคม 2560


ความรู้เพิ่มเติมจากห้องเรียน :

ท่านหญิงอาอิชะฮฺ เคยเล่าให้ท่านนบีฯฟังว่า "โอ้ท่านรอซูลุลลอฮฺ หญิงสองคนชาวยิว ได้เข้ามาหาฉัน และกล่าวว่า "คนตายถูกลงโทษในหลุมฝังศพของพวกเขา"  ฉันคิดว่าหญิงชาวยิวทั้งสองโกหก"  ท่านนบีฯจึงกล่าวว่า "หญิงสองคนนั้นพูดความจริง  คนตายถูกลงโทษจริงๆ จนถึงขนาดที่ว่า สัตว์ทั้งหมดจะได้ยิน (เสียงที่เกิดจาก) การลงโทษพวกเขา"

นับตั้งแต่นั้นมา  ฉันมักจะเห็นท่านวิงวอนในการนมาซของท่าน เพื่อขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺ ให้พนจากการลงโทษในหลุมฝังศพ
Share:

อาจารย์ บรรจง บินกาซัน Live in Sydney เนื่องในวันอีดิลอัฎฮา 2014 ที่ซิดนีย์ ออสเตรเลีย


อาจารย์ บรรจง บินกาซัน Live in Sydney เนื่องในวันอีดิลอัฎฮา 2014 ที่ซิดนีย์ ออสเตรเลีย
จัดขึ้นโดยความร่วมมือของสมาคมมุสลิมไทยในออสเตรเลีย (ITAA) จัดงานวันอีดิลอัฎฮาขึ้น โดยเชิญ ท่านอาจารย์ บรรจง บินกาซัน มาเป็นเกียรติน้ำละหมาด และบรรยายเกี่ยวกับศาสนาให้กับมุสลิมไทยในซิดนีย์ และยังได้เกียรติจากกงสุลไทยประจำนครซิดนีย์ ออสเตรเลีย มาร่วมงานเลี้ยง และรับประทานอาหารร่วมกัน .




Youtube Channel : ITAAislam
Share:

เรื่องไม่ลับ แต่คนไม่รู้

เรื่องไม่ลับ แต่คนไม่รู้
บรรจง บินกาซัน


ดอกเบี้ยคือความไม่เป็นธรรมอย่างหนึ่ง หากดอกเบี้ยเฟื่องฟูในสังคมใด สังคมนั้นก็เต็มไปด้วยความไม่เป็นธรรม และเมื่อความไม่เป็นธรรมอยู่ที่ไหน มันจะนำความหายนะมาสู่ที่นั่น

นี่คือเหตุผลที่ศาสดาคนสำคัญของโลกเช่นโมเสสและพระเยซูได้สั่งห้ามการให้กู้ยืมโดยคิดดอกเบี้ย หลักฐานคำสั่งห้ามของศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองนี้สามารถหาพบได้ในคัมภีร์ไบเบิล
ปรัชญาเมธีชาวกรีกอย่างเพลโตและอริสโตเติลก็กล่าวประณามดอกเบี้ยไว้เช่นกัน

หลังสมัยพระเยซูประมาณ 600 ปี นบีมุฮัมมัดได้มายืนยันคำสั่งห้ามของศาสดาและปรัชญาเมธีคนก่อนๆเพราะคำสอนของศาสดาคือวจนะของพระเจ้าที่เป็นความจริงตราบนานจนถึงวันสิ้นโลก
นอกจากยืนยันความจริงแล้ว นบีมุฮัมมัดผู้เกิดในสังคมการค้าในแผ่นดินอาหรับยังได้ขยายความจริงเกี่ยวกับเรื่องดอกเบี้ยออกไปอีกว่าดอกเบี้ยมีหลากหลายรูปแบบ ดอกเบี้ยมิได้อยู่ในรูปของสิ่งที่เพิ่มขึ้นจากการกู้ยืมเท่านั้น แต่ยังอยู่ในรูปของส่วนลดหรือส่วนเพิ่มที่เกิดขึ้นจากการแลกเปลี่ยนสิ่งของมีค่าที่เหมือนกันอีกด้วย ท่านกล่าวว่า :-

“อย่าขายหรือแลกเปลี่ยนทองคำกับทองคำเว้นเสียแต่ว่ามันมีน้ำหนักเท่ากัน อย่าขายหรือแลกเปลี่ยนเงินกับเงินเว้นเสียแต่จะมีน้ำหนักเท่ากัน แต่ท่านสามารถขายทองเพื่อเงินหรือขายเงินเพื่อทองได้ตามที่ท่านต้องการ.....การขายทองเพื่อทองเป็นดอกเบี้ยยกเว้นถ้าเป็นการแลกเปลี่ยนกันทันทีจากมือสู่มือและมีจำนวนเท่ากัน”
ท่านพูดเช่นนั้นเพราะในสมัยของท่าน โลกใช้เหรียญกษาปณ์ทองคำซึ่งเรียกว่า “ดีนาร์”และเหรียญเงินที่เรียกว่า “ดิรฺฮัม” เป็นสื่อกลางในการซื้อขาย ในยุคต้นอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินทั้งสองนี้อยู่ที่ 7 ดีนาร์เท่ากับ 10 ดิรฺฮัม เงินสองสกุลนี้เป็นสกุลเงินหลักของดินแดนที่อยู่ภายใต้การปกครองของอิสลามมานานนับหลายร้อยปี

เมื่ออาณาจักรออตโตมานเติร์กล่มสลาย โลกเข้าสู่ยุคทันสมัย ชาติตะวันตกได้นำเอาเงินกระดาษที่เรียกว่า“ธนบัตร”เข้ามาแทนที่เหรียญกษาปณ์ทองคำเพื่อการพกพาได้สะดวก ส่วนเงินโลหะไม่ได้รับการถือว่าเป็นวัตถุคงค่าเท่าทองคำ แต่การจะพิมพ์ธนบัตรออกมาใช้แทนทองคำต้องมีทองคำหนุนหลังเพื่อให้ธนบัตรที่พิมพ์ออกมามีค่าสามารถแลกเปลี่ยนโลหะทองคำได้พอดี

หลังสงครามโลกครั้งสอง ประเทศต่างๆต้องการค้าขายกับสหรัฐ เงินดอลล่าร์จึงได้กลายเป็นสกุลเงินสากลของโลก เมื่อการค้าต้องใช้เงิน ใน ค.ศ.1944 (พ.ศ.2487)  ประเทศต่างๆจึงได้ตกลงกันที่เมืองเบรตตันวูด รัฐนิวแฮมไชร์ของสหรัฐฯว่าราคาทองคำ 1 ออนซ์มีค่าเท่ากับ 35 ดอลล่าร์สหรัฐ ประเทศใดที่จะออกสกุลเงินของตัวเองก็ต้องเทียบมูลค่าดังกล่าวเป็นมาตรฐาน

เมื่อโลกทำการค้าโดยอาศัยสกุลเงินดอลล่าร์อ้างอิงได้ไม่นาน ค.ศ.1971 นายริชาร์ด นิกสัน ประธานาธิบดีสหรัฐได้ประกาศยกเลิกมาตรฐานทองคำที่ตกลงไว้กับต่างชาติตามลำพังเพียงฝ่ายเดียว นับแต่นั้นมา สหรัฐฯได้ออกธนบัตรดอลล่าร์ตามความต้องการของเศรษฐกิจโดยไม่มีทองคำหนุนหลัง ยิ่งพิมพ์ออกมามาก สกุลเงินดอลล่าร์ก็ยิ่งมีมูลค่าลดลงเมื่อเทียบกับมูลค่าที่แท้จริงของทองคำ จนกระทั่งวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ.2010 ทองคำปิดราคาที่ 1,420 ดอลล่าร์ต่อหนึ่งออนซ์

ผลงานที่นายริชาร์ด นิกสันทำไว้ในเรื่องนี้ได้ทำให้กลุ่มนายทุนการเงินในวอลสตรีทที่กุมหัวใจเศรษฐกิจของสหรัฐไว้ตั้งแต่มีการก่อตั้งธนาคารกลางของสหรัฐใน ค.ศ.1912 แผ่ขยายอิทธิพลไปทั่วโลก
ด้วยเงินกระดาษดอลล่าร์ที่เสื่อมค่าลงทุกวันเหมือนเงินกงเต็กนี้เองที่รัฐบาลสหรัฐนำไปซื้อรัฐบาลและครอบครองทรัพยากรในประเทศต่างๆทั่วโลกเป็นการแผ่ขยายอำนาจของตน

เมื่อเงินดอลล่าร์สหรัฐเสื่อมค่าหมดความน่าเชื่อถือ ชาติยุโรปจึงหันมาร่วมกันออกสกุลเงินยูโรของตนเอง ดังนั้น มูลค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐยิ่งเสื่อมลงเพราะถ้าธนบัตรสกุลใดไม่เป็นที่ยอมรับ ธนบัตรนั้นก็ไม่ต่างอะไรไปจากเศษกระดาษที่หมดอำนาจบงการและการครอบครอง ทางออกก็คือการทำให้เงินดอลล่าร์เป็นที่ยอมรับต่อไปไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม

นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเวเนซูเอลาจึงมีการก่อจลาจลประท้วงประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซเมื่อเขาประกาศว่าจะขายน้ำมันของชาติด้วยเงินดอลล่าร์เพียงครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครั้งหนึ่งจะใช้เงินสกุลอื่น
เหตุผลที่สหรัฐโจมตีและยึดครองอิรักมิใช่เพราะซัดดัม ฮุสเซนเป็นเผด็จการแต่อย่างใด เพราะสหรัฐเองเคยสนับสนุนอิรักให้โจมตีอิหร่านหลังการปฏิวัติของอิมามโคมัยนี แต่เป็นเพราะซัดดัมประกาศว่าจะเลิกซื้อขายน้ำมันของอิรักด้วยเงินดอลล่าร์ต่างหาก การบุกโจมตีและยึดอิรักจึงเกิดขึ้นเพื่อปล้นบ่อน้ำมันของอิรักไปขายด้วยเงินดอลล่าร์สหรัฐต่อไปนั่นเอง

การโจมตีลิเบียและสังหารประธานาธิบดีมุอัมมาร์ กอซซาฟีอย่างเหี้ยมโหดและความพยายามจะโจมตีอิหร่านก็เป็นเพราะเหตุผลทางการเงินเช่นเดียวกัน เพราะอิหร่านได้ประกาศว่าจะขายน้ำมันด้วยเงินสกุลอื่นที่มิใช่ดอลล่าร์สหรัฐ

ขณะนี้ เศรษฐกิจของยุโรปกำลังร่อแร่ เงินยูโรที่เป็นคู่แข่งของเงินดอลล่าร์สหรัฐกำลังมีปัญหา จีนและรัสเซียจึงนำเงินรูเบิลและเงินหยวนออกสู่ระบบเศรษฐิจการเงินของโลกในขณะที่โลกมุสลิมก็มีการเสนอให้นำระบบเงินดีนาร์ทองคำกลับมาเป็นสกุลเงินของโลกอีกครั้งหนึ่ง

การต่อสู้กันของสกุลในสองค่ายมหาอำนาจนี้ไม่ต่างอะไรจากช้างสารชนกัน ชาวโลกที่เป็นหญ้าแพรกเท่านั้นที่แหลกราญ

หมายเหตุ : บทความนี้เขียนลงหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ "โลกวันนี้" ฉบับวันที่ 1 มิถุนายน 2555
Share:

การกลับสู่ยุโรปของอิสลาม

การกลับสู่ยุโรปของอิสลาม
บรรจง บินกาซัน

 การสำรวจประชากรทางศาสนาในโลกเมื่อเร็วนี้ระบุว่าอิสลามเป็นศาสนาที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในโลกตะวันตกและใน ค.ศ.2020 ประมาณกันว่ายุโรปจะมีประชากรที่นับถือศาสนาอิสลามประมาณ 20% ขึ้นไป

ไม่เป็นเรื่องน่าแปลกแต่ประการใดที่ผลสำรวจจะออกมาเช่นนั้นยิ่งหากมองจากทางประวัติศาสตร์
อิสลามเคยเข้าไปในคาบสมุทรไอบีเรียซึ่งเป็นที่ตั้งของสเปนและโปรตุเกสในปัจจุบันเมื่อศตวรรษที่ 8 และมุสลิมเคยสร้างอาณาจักรอันดะลุสที่เป็นอู่อายธรรมแห่งหนึ่งของโลกจนถึงศตวรรษที่ 15 ต่อมา อาณาจักรออตโตมานเคยขยายอาณาเขตการปกครองไปถึงอัลบาเนีย บอสเนีย ฮังการี ออสเตรียและโปแลนด์ทางยุโรปตะวันออก
ค.ศ.1429 อาณาจักรอันดะลุสล่มสลาย มุสลิมและชาวยิวถูกกองทัพสเปนและพันธมิตรยุโรปบีบบังคับให้เลือกทางออกสามทาง คือ ออกไปจากสเปน หรือหันมารับนับถือศาสนาคริสต์หรือไม่ก็ตาย
ไม่ว่าจะเลือกทางใด ผลสุดท้ายก็คือสเปนไม่มีมุสลิมหลงเหลืออยู่ทั้งๆที่เมื่อประมาณหนึ่งพันปีก่อนหน้านี้เฉพาะในเมืองคอร์โดบาซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรอันดะลุสมีประชากรมุสลิมอาศัยอยู่ประมาณห้าแสนคน


ค.ศ.1918 เมื่ออาณาจักรออตโตมาน พันธมิตรของเยอรมันพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 อาณาจักรออตโตมานจึงมีอันต้องล่มสลาย แผ่นดินในยุโรปตะวันออกที่อยู่ภายใต้การปกครองโดยเคาะลีฟะฮฺที่อิสตันบูลได้กลายเป็นประเทศเล็กประเทศน้อยในเครือของยุโรป
สถานการณ์ในเวลานั้นชวนให้ผู้คนคิดว่าแผ่นดินยุโรปคงไม่มีประชากรมุสลิมหลงเหลืออยู่แล้ว แต่เมื่อย้อนลึกไปศึกษาประวัติศาสตร์ แผ่นดินไอยคุปต์หรืออียิปต์โบราณเคยถูกปกครองโดยนบียูซุฟมาก่อน แต่หลังสมัยนบียูซุฟ แผ่นดินไอยคุปต์ได้ถูกชาวอียิปต์พื้นเมืองโค่นอำนาจและลูกหลานอิสราเอลซึ่งเป็นมุสลิมผู้หลงผิดได้พากันอพยพออกมาจากอียิปต์ภายใต้การนำของโมเสสจนแทบจะไม่เหลือ แต่วันนี้ ประชากรส่วนใหญ่ของอียิปต์เป็นมุสลิม
เมื่อเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นในอียิปต์ ทำไมมันจะเกิดขึ้นในประเทศอื่นไม่ได้หากพระเจ้าประสงค์  อินโดนีเซียซึ่งแต่เดิมเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรพราหมณ์ฮินดู แต่ในตอนนี้ ประชากรส่วนใหญ่ของอินโดนีเซียเป็นมุสลิมโดยมิได้ถูกบังคับด้วยดาบแต่ประการใด
หลังอาณาจักรอันดะลุสล่มสลายไม่นาน ยุโรปได้เข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ ชาวยุโรปได้เริ่มนับถือวิทยาศาสตร์แทนศาสนาและนับถือนักวิทยาศาสตร์เหมือนศาสดาที่พูดความจริง ชาร์ลส ดาร์วิน บอกว่ามนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิง ชาวยุโรปก็เชื่อ เมื่อมอลธัสบอกว่ามีลูกมากจะยากจน ชาวยุโรปก็เริ่มเชื่อและคุมกำเนิดกัน ประชากรในยุโรปจึงลดลงซึ่งส่งผลให้เกิดความต้องการแรงงาน ดังนั้น ในสเปนปัจจุบันจึงมีชาวมุสลิมจากโมรอคโคซึ่งเป็นประเทศฝั่งตรงข้ามทะเลเมดิเตอเรเนียนเข้าไปทำงานในสเปนกันมากขึ้น
แม้ในสเปนจะไม่มีมัสญิดมากมายเหมือนในสมัยอาณาจักรอันดะลุส แต่ในกรุงมาดริดเมืองหลวงของสเปนก็มีศูนย์กลางอิสลามที่มีพื้นที่ละหมาดสำหรับมุสลิม มีส่วนที่แสดงนิทรรศการสำหรับคนที่สนใจศึกษาอิสลาม และสถานที่แห่งนี้เป็นที่ต้อนรับผู้หันมาเข้ารับอิสลามซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในเมืองเซบีญาและกรานาดาถึงแม้ไม่มีมัสญิดใหญ่โตเหมือนในสมัยอาณาจักรอันดะลุส แต่ก็มีอาคารที่ถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับนมาซวันศุกร์ของชาวมุสลิม
เนเธอร์แลนด์เคยไปยึดอินโดนีเซียเป็นเมืองขึ้นของตนเพื่อแสวงหาทรัพยากรและเผยแผ่ศาสนาคริสต์ เมื่อยึดแล้วก็นำชาวอินโดนีเซียมาเป็นแรงงานในประเทศของตนตามประสานักล่าอาณานิคม ทุกวันนี้ ผลสำรวจประชากรปรากฏว่าชาวเนเธอร์แลนด์ส่วนใหญ่ไม่มีศาสนา แต่ในจำนวนประชากรที่นับถือศาสนานั้นส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมและในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นชาวอินโดนีเซีย โบสถ์หลายแห่งถูกซื้อมาดัดแปลงเป็นมัสญิด

เมื่อเยอรมันแพ้สงครามโลกและต้องบูรณปฏิสังขรณ์ประเทศของตน เยอรมันจึงต้องการแรงงาน แน่นอน ในฐานะตุรกีเป็นพันธมิตรร่วมรบ เยอรมันจึงต้อนรับแรงงานชาวตุรกีที่เป็นมุสลิมนับแสนคนเข้าไปทำงานในประเทศของตน ทุกวันนี้ เยอรมันจึงมีชาวตุรกีนับล้านคนอาศัยอยู่ในประเทศ แม้ชาวตุรกีส่วนหนึ่งจะถูกสังคมตะวันตกในเยอรมันหล่อหลอมให้ดำเนินชีวิตแบบตะวันตก แต่มุสลิมชาวตุรกีส่วนใหญ่ก็ยังสามารถดำรงรักษาความศรัทธาในอิสลามของตนไว้อย่างเหนียวแน่น
อังกฤษนำชาวอินเดียและปากีสถานส่วนนึ่งไปเป็นแรงงานในประเทศของตนหลังจากยึดอินเดียไว้เป็นอาณานิคม ปัจจุบัน ชาวมุสลิมอินเดียและปากีสถานส่วนหนึ่งซึ่งเป็นพลเมืองอังกฤษไปแล้วได้แพร่ลูกออกหลานจนมีบางคนบอกว่าไม่ช้ากรุงลอนดอนอาจจะถูกเรียกว่า “ลอนดอนนิสถาน”ก็ได้ เมื่อไม่นานมานี้ ทารกเกิดใหม่ถูกตั้งชื่อว่า "มุฮัมมัด" มากที่สุด
เมื่อเร็วๆนี้ นายวลาดิมีร์ ปูตินก็เพิ่งไปเปิดมัสญิดที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปในกรุงมอสโคว์
วันนี้ ชาติยุโรปกำลังเร่งเพิ่มประชากรมุสลิมในทวีปของตนโดยการโจมตีประเทศมุสลิมในตะวันออกกลาง ทำให้ชาวมุสลิมในประเทศที่ถูกโจมตีพากันอพยพเข้าไปยังประเทศต่างๆในยุโรปที่เจริญก้าวหน้า แต่ขาดศาสนา ดังนั้น ไม่ช้านี้ ชาวมุสลิมที่อพยพไปยังยุโรปจะนำอิสลามไปสู่ที่นั่น

Share:

การขลิบหนังปลายอวัยวะเพศชาย : ความสำคัญทางการแพทย์และศาสนา

การขลิบหนังปลายอวัยวะเพศชาย : ความสำคัญทางการแพทย์และศาสนา


การขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะพิเศษหรือที่คนทั่วไปรู้จักกันในคำว่า “เข้าสุหนัต” หรือที่ศัพท์ภาษามลายูท้องถิ่นใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของเราเรียกว่า “มาโซะยาวี” นั้นเป็นกระบวนการผ่าตัดในทางด้านการแพทย์อย่างหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันมายาวนานแล้วเพราะมันเป็นที่ปฏิบัติกันอย่างกว้างขวางในฐานะที่เป็นพิธีกรรมทางศาสนาอย่างหนึ่งตั้งแต่สมัยโบราณ ภาษาอาหรับเรียกกระบวนการนี้ว่า “คิตาน”

ถึงแม้ที่มาของมันจะไม่เป็นที่รู้กัน แต่หลักฐานเก่าแก่ที่สุดของการขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชายสามารถย้อนหลังไปได้ถึงสมัยอียิปต์ประมาณ 2300 ปีก่อนคริสตกาล เดิมทีฟาโรห์ได้ใช้การขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชายเพื่อเป็นเครื่องหมายของพวกทาส  เมื่อพวกโรมันเข้ามายึดครองอียิปต์เมื่อ 30 ปีก่อนคริสตกาล  การขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศให้แก่เด็กหนุ่มก็แพร่ไปทั่วโลก  หลังสงครามโลกครั้งที่สอง มันก็เป็นที่ปฏิบัติกันแทบจะเป็นของสากลในตะวันตก
อย่างไรก็ตาม ในอเมริกาเหนือปัจจุบัน ประมาณกันว่า 85% ของเด็กเกิดใหม่ได้ถูกขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ ในยุโรปมีแค่เพียง 10% แต่ในเอเซียและแอฟริกามีแค่เพียง 5% เท่านั้น  ส่วนในหมู่ชนที่มิใช่ยิวของยุโรป สแกนดิเนเวียและอเมริกาใต้นั้นมีการปฏิบัติน้อยมาก  ทีนี้ขอให้เรามาดูข้อเท็จจริงเกี่ยวกับขลิบหนังปลายอวัยวะเพศและประโยชน์ทางด้านการแพทย์ของมันดูบ้าง
 ความสำคัญทางด้านพิธีกรรม
การขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชายเป็นที่ปฏิบัติกันอย่างกว้างขวางในหมู่ชนเผ่าที่ถือผีสางเทวดาในอาฟริกา หมู่เกาะมาเลย์ นิวกินี ออสเตรเลียและเกาะแปซิฟิก  กลุ่มคนพื้นเมืองบางกลุ่มในอเมริกาใต้และอเมริกากลางก็มีพิธีการทำผ่าตัดอวัยวะเพศบางอย่างแก่เพศชายและเพศหญิงเช่นกัน
ในชนบางเผ่า การขลิบหนังปลายอวัยวะเพศมักจะเป็นพิธีกรรมที่ทำกับเด็กที่ก้าวเข้าสู่วัยหนุ่ม  บางครั้ง ความเจ็บปวดในการตัดหนังปลายอวัยวะเพศนี้ได้ถูกใช้เป็นเครื่องเซ่นแก่ภูตผีปีศาจ  ขณะเดียวกัน การตัดหนังปลายอวัยวะเพศก็เป็นสิ่งยืนยันถึงความพร้อมในการแต่งงานและความเป็นผู้ใหญ่และเป็นสิ่งยืนยันว่าบุคคลผู้นั้นสามารถทนความเจ็บปวดได้  นอกจากนี้แล้ว การตัดหนังปลายอวัยวะเพศชายยังเป็นสิ่งที่แยกวัฒนธรรมของคนกลุ่มหนึ่งออกจากกลุ่มคนที่ไม่ได้ทำเช่นนั้นด้วย
ในหมู่ชาวอียิปต์โบราณ โดยทั่วไปแล้ว เด็กผู้ชายจะถูกตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศระหว่างอายุ 6-12 ขวบ  การผ่าตัดในวัยแรกรุ่นนี้เป็นตัวแทนถึงการเริ่มต้นเข้าสู่ความเป็นผู้ชาย
 พิธีกรรมทางศาสนา
ประเพณีและกฎหมายของชาวยิวเกี่ยวกับการขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศนั้นมาจากคัมภีร์ไบเบิล คัมภีร์ตัลมูดและจารีตของชาวยิวซึ่งถ่ายทอดกันมาจากชนรุ่นหนึ่งมายังชนอีกรุ่นหนึ่ง
ในประเพณีทางศาสนาของชาวยิว การขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศของทารกเพศชายถือเป็นสิ่งจำเป็นในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของพันธะสัญญากับพระเจ้า  ตามกฎหมายของพวกเลวี  ทารกเพศชายชาวยิวทุกคนจะต้องได้รับการขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศในวันที่ 8 หลังจากการเกิด คำบัญชาแรกของคัมภีร์สำคัญห้าฉบับก็คือเด็กผู้ชายทุกคนจะต้องตัดหนังหุ้มปลายองคชาติ (ดูฉบับปฐมกาล 17:10-14) และการปฏิบัติตามพิธีกรรมนี้ถือว่าเป็นความสำคัญทางศาสนา
ตามคัมภีร์ไบเบิล การตัดหนังหุ้มปลายองคชาติเป็นคำบัญชาแรกที่พระเจ้ามีต่ออับราฮัมและเป็นศูนย์กลางของศาสนายูดาย  อับราฮัมบิดาของชาวยิวรับใช้พระผู้เป็นเจ้าด้วยความซื่อสัตย์มาเป็นเวลาหลายปี  แต่ท่านก็เพิ่งจะมาขลิบหนังปลายองคชาตของท่านตามคำบัญชาของพระเจ้าในตอนที่ท่านอายุได้ 99 ปี (ดูฉบับปฐมกาล 17:1)
ในพันธะสัญญาเก่าฉบับปฐมกาล 17:10-11 ก็ได้มีการเขียนไว้ว่า : “ นี่เป็นพันธะสัญญาของเราซึ่งเจ้าจะต้องรักษาระหว่างเรากับเจ้าและเชื้อสายของเจ้าที่จะสืบมา คือผู้ชายทุกคนจะต้องเข้าสุหนัต เจ้าจงเข้าสุหนัตหนังหุ้มปลายองคชาติของเจ้า นี่จะเป็นการหมายสำคัญของพันธะสัญญาระหว่างเรากับเจ้า”  พันธะสัญญาเก่าได้เอ่ยถึงคำว่า “บริส” (ในภาษาฮิบรูหมายถึงพันธะสัญญา) ถึง 13 ครั้งด้วยกันเกี่ยวกับการเข้าสุหนัต
หน้าที่ในการเข้าสุหนัตให้เด็กชาวยิวนั้นตกอยู่ที่พ่อ  ในกรณีที่พ่อไม่อยู่หรือไม่สามารถจัดการทำพิธีเข้าสุหนัตได้ หน้าที่ก็จะตกเป็นของสังคมและชาวยิวทุกคนจำเป็นต้องทำสุหนัต
ผู้ทำหน้าที่เข้าสุหนัตถูกเรียกว่า “โมเฮล” ซึ่งเป็นผู้ผ่าตัดที่มีความชำนาญเป็นพิเศษในการทำสุหนัต  หลังจากทำพิธีกรรมแล้ว โมเฮลจะตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศของทารกพร้อมกับตั้งชื่อและอวยพรให้  คนที่จะเป็นโมเฮลได้นั้นจะต้องเป็นผู้เกรงกลัวพระเจ้า ต้องเป็นชาวยิวผู้ปฏิบัติตามคัมภีร์และได้รับการฝึกอบรมในทางด้านกฎหมายของชาวยิวและทางการแพทย์
สำหรับชาวยิว การนำทารกไปขลิบหนังปลายอวัยวะเพศโดยศัลยแพทย์ที่โรงพยาบาลนั้นยังถือว่าไม่เป็นสมบูรณ์ตามความต้องการของพิธีการเข้าสุหนัตแบบชาวยิว เพราะยังจะต้องมีพิธีกรรมทางศาสนาอีก

ลักษณะของธรรมชาติแห่งอิสลาม
ในหมู่ชาวอาหรับ การเข้าสุหนัตมีมาก่อนที่จะมีอิสลามเกิดขึ้น (ค.ศ.570)  ในหมู่ชาวอาหรับและชาวเอธิโอเปียนั้น การเข้าสุหนัตจะทำหลังจากการเกิดได้ไม่นานหรือบางทีสองสามปีหลังการเกิด  อบูฮุร็อยเราะฮฺรายงานว่าท่านศาสนทูตของอัลลอฮได้กล่าวว่า “ อิบรอฮีมทำสุหนัตตนเองหลังจากที่ท่านอายุได้ 80 ปี”
อิสลามต้องการให้ชายมุสลิมขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศเพื่อที่จะส่งเสริมความสะอาด  ท่านศาสดามุฮัมมัดได้กล่าวว่า : “ มีการกระทำห้าสิ่งที่ใกล้เคียงกับฟิตเราะฮฺ (ธรรมชาติอันบริสุทธิ์) หรือห้าสิ่งที่เป็นการกระทำตามฟิตเราะฮฺ นั่นคือ การเข้าสุหนัต การโกนขนอวัยวะเพศ การตัดเล็บ การถอนขนรักแร้และการขลิบหนวด”
นักวิชาการหลายคนกล่าวการกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งจำเป็น  นักวิชาการสำนักชาฟีอีถือว่าการเข้าสุหนัตควรจะทำในวันที่เจ็ดหลังจากที่เด็กเกิด แต่อัช-เชากานีย์กล่าวว่า “ไม่มีสิ่งใดที่ระบุไว้อย่างชัดเจนถึงเรื่องเวลา”
การเข้าสุหนัตได้หายไปจากประเพณีของชาวพุทธ ชาวฮินดูและลัทธิขงจื๊อ นอกจากนั้นแล้ว คริสตจักรเองก็ไม่มีหลักการที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้  ชาวคริสเตียนไม่จำเป็นต้องเข้าสุหนัตได้ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิลฉบับกิจการของอัครทูตบทที่ 15  ปัจจุบัน มีแต่คริสตจักรอบิสสิเนียเท่านั้นในบรรดาองค์การคริสตจักรที่ยอมรับการเข้าสุหนัตว่าเป็นพิธีกรรมทางศาสนา
การทำสุนัตทางด้านการแพทย์
นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 พลเมืองที่พูดภาษาอังกฤษจำนวนมากได้หันมาทำสุหนัตกันด้วยเหตุผลทางการแพทย์  ในประเทศตะวันตก ได้มีการขลิบหนังปลายองคชาติอย่างกว้างขวางเนื่องมาจากเหตุผลทางด้านความสะอาด  ในโรงพยาบาลหลายแห่งจะตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศให้แก่เด็กเกิดใหม่เป็นประจำเว้นแต่จะไม่ได้รับคำยินยอมจากผู้ปกครองเด็ก  ในทางการแพทย์สมัยใหม่ การตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศของผู้ชายถือเป็นการผ่าตัดเล็กที่กระทำให้เด็กเพื่อความสะอาด  จากทัศนะทางด้านการแพทย์ การเข้าสุหนัตก็คือการตัดหนังหุ้มปลายองคชาติออกเพื่อให้หนังหุ้มอวัยวะเพศหดหายเข้าไปข้างหลังหัวองคชาติ  ในตอนเกิด เด็กๆจะมีหนังที่หุ้มปลายองคชาติอยู่ แต่เมื่อหนังตรงปลายถูกตัด หัวขององคชาติก็จะถูกเปิดออกซึ่งจะทำให้สิ่งสกปรกไม่สามารถเข้าไปหมักหมมส่งกลิ่นเหม็นอยู่ที่ปลายองคชาติและอาจก่อให้เกิดเชื้อโรคได้
แพทย์ในศตวรรษที่ 19 ได้แนะนำให้ตัดหนังหุ้มปลายองคชาติเพื่อการป้องกันโรคภัยต่างๆ เช่นโรคฮิสทีเรีย การแพร่เชื้อกามโรค เป็นต้น นอกจากนี้แล้ว ยังได้มีการยกหลักฐานมาอ้างอีกว่าคนที่เข้าสุหนัตจะมีอัตราการเป็นมะเร็งทางอวัยวะเพศต่ำมาก
การศึกษาวิจัยเมื่อเร็วๆนี้พบว่าการตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศให้แก่ลูกของตนเองนั้นมีผลดีทางการแพทย์บางอย่าง เช่น โอกาสที่จะติดโรคทางเดินปัสสาวะน้อยมาก  เด็กที่ไม่ได้ตัดหนังหุ้มหลายองคชาติจะมีโอกาสไตอักเสบเป็น 10 เท่าของเด็กที่ตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศตั้งแต่ตอนเป็นทารก  แม้แต่การตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศในตอนเป็นผู้ใหญ่ก็ยังป้องกันโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ  สำหรับไตแล้ว การติดเชื้อเป็นอันตรายที่สุดในสามเดือนแรกซึ่งในระหว่างนี้ผู้ป่วยมักจะต้องไปโรงพยาบาลและอาจจะมีผลติดเชื้อรุนแรงอย่างอื่นติดตามมา  การทำงานของไตและการหลั่งฮอร์โมนผิดปกติสามารถเกิดขึ้นกับการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะได้  นอกจากนี้แล้ว การติดเชื้อแบคทีเรียจากสิ่งสกปรกที่หมักหมมอยู่ภายใต้หนังหุ้มปลายองคชาติก็อาจนำไปสู่การติดเชื้อของไตได้เช่นกัน
ผู้ชายที่เข้าสุหนัตแทบจะไม่เป็นมะเร็งที่อวัยวะเพศเลย  การติดเชื้อที่หนังหุ้มปลายองคชาติสามารถเกิดขึ้นกับผู้ชายที่ไม่เข้าสุหนัตในอายุเท่าใดก็ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นในตอนอายุ 2-5 ปี ซึ่งเป็นวัยที่หนังหุ้มปลายองคชาติยังแยกไม่หมด  ดังนั้น จึงไม่สามารถถลกให้เปิดออกได้เต็มที่เพื่อทำความสะอาด  นอกจากนั้นแล้ว เด็กเองก็ไม่สามารถทำความสะอาดให้ตัวเองได้และในที่สุดก็จะต้องไปตัดเอาในตอนหลังซึ่งเสียค่าใช้จ่ายแพง  ด้วยเหตุนี้ การทำสุหนัตให้แก่เด็กตั้งแต่เกิดมาจึงทำให้สามารถรักษาความสะอาดได้ตลอดชีวิต
การศึกษายังแสดงให้เห็นว่าคนที่ตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศมีอัตราเสี่ยงต่อการติดโรคทางเพศน้อยมาก ส่วนผู้ชายที่ไม่ตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศนั้นจะมีโอกาสติดเชื้อมากกว่า เพราะในระหว่างการมีความสัมพันธ์ทางเพศนั้น หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศสามารถถลอกหรือเป็นแผลเล็กๆที่ทำให้เชื้อไวรัสเข้าไปในบาดแผลนั้นได้  เป็นที่คาดกันว่าหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศอาจจะปล่อยให้ไว้รัสและเชื้อโรคอื่นๆสามารถอยู่รอดได้ยาวนานกว่าที่อยู่ข้างนอกและมีเวลามากกว่าที่จะเข้าไปในร่างกาย  เมื่อเร็วๆนี้มีการพบว่าเซลล์บางอย่างในหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศสามารถที่จะดักไวรัสเอชไอวีและทำให้เกิดการติดเชื้อได้
ความจริงแล้ว การตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากในประเทศยากจนที่มีโรคระบาดและไม่สามารถจัดมาตรฐานสุขอนามัยทางการแพทย์ได้
การตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานทางเพศลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด ในทางตรงข้าม จากหลักฐานที่ถูกตีพิมพ์แสดงให้เห็นว่าคนที่ตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศสามารถมีกิจกรรมทางเพศได้หลากหลายและผู้หญิงจะชอบผู้ชายที่ตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศเพราะเหตุผลเรื่องความสะอาดและสุขอนามัย

บทความโดยบรรจง บินกาซัน
Share:

บทความที่ได้รับความนิยม

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน

บทความทั้งหมด

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

คลังบทความของบล็อก

Recent Posts

ผู้ติดตาม